เพื่อนๆ หลายๆ คนที่กำลังสนใจความรู้เกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซค์ หรือบรรดาผู้เล่นรถมอเตอร์ไซค์หน้าใหม่ อาจจะสงสัยการแบ่งประเภทของรถมอเตอร์ไซค์ในตลาดปัจจุบันว่าทรงนี้เค้าเรียกว่า อะไร ทรงนั้นเค้าเรียกว่าอะไร วันนี้ทีมงาน GreatBiker จะขอพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับรถมอเตอร์ไซค์ในแต่ล่ะรูปแบบในท้องตลาดขณะนี้กันครับ
รูปแบบของรถมอเตอร์ไซค์ในปัจจุบัน
Standard
ชื่อก็บอกตรงตัวเลยครับว่ามันเป็นมาตรฐาน ซึ่งเราสามารถพบเจอเจ้ารถพวกนี้ได้บนท้องถนนกว่า 90% เลยทีเดียว โดยพื้นฐานของรถในแนวนี้จะมีเครื่องยนต์ขนาด 1 ลูกสูบ พิกัดเครื่องยนต์ตั้งแต่ 50 cc – 200 cc โดยรถประเภทนี้จะต้องมีระบบเกียร์ในการขับเคลื่อน และเราสามารถแยกออกจากรถประเภทอื่นๆ ได้อย่างง่ายๆ ด้วยท่าทางในการขับขี่ที่หลังจะตรงและขาทั้งสองข้างจะทิ้งลงในแนวดิ่ง ยกตัวอย่างเช่น Honda Supercup หรือ Yamaha Exciter เป็นต้น
Automatic / Scooter / Big Scooter
รถมอเตอร์ไซค์ในแนวนี้จะเป็นการต่อยอดมาจากรูปแบบของรถ Standard โดยจะใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ เข้ามาเป็นระบบขับเคลื่อนหลัง โดยเครื่องยนต์จะมี 1 – 4 ลูกสูบ แล้วแต่ขนาดซีซีของเครื่องยนต์โดยไล่ไปตั้งแต่ 100 – 800 ซีซี โดยท่วงท่าในการขับขี่จะคล้ายคลึงกับรถมอเตอร์ไซค์ในแนว Standard แต่อาจจะมีการวางตำแหน่งเท้าที่เยื้องไปด้านหน้า ยกตัวอย่างเช่น Yamah Fino, Aerox, Qbix, ตระกูล max หรือ Honda Scoopy, PCX, Forza, X-ADV หรือจะเป็น Big Scooter ขนาดใหญ่อย่าง Suzuki Burgman เป็นต้น
Naked
ขยับขึ้นมาเป็นรถในแนวบิ๊กไบค์ที่เราๆ คุ้นเคยกันบ้าง โดยเจ้า Naked นั้นจะสังเกตได้ง่ายๆ ด้วยชิ้นส่วนของแฟร์ริ่งที่จะมีน้อยชิ้นกว่า Sport Fairing โดยพิกัดเครื่องยนต์จะอยู่ที่ขนาด 125 – 1300 ซีซี เครื่องยนต์นั้นมีได้ตั้งแต่ 1- 4 ลูกสูบ โดยแยกประเภทได้เป็น ลูกสูบเดี่ยว สองลูกสูบเรียง สองลูกสูบ V-Twin หรือ L –Twin (แล้วแต่องศาในการวางเครื่องยนต์) สองลูกสูบนอน (Flat- Boxer) สามลูกสูบเรียง สี่ลูกสูบเรียง สี่ลูกสูบ V4 ซึ่งบรรดาเครื่องยนต์แต่ล่ะรูปแบบจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเจ้า Naked ที่เราเห็นกันอยู่ประจำยกตัวอย่างเช่น Honda ตระกูล CB ทั้งหลาย Yamaha M-slaz และตระกูล MT, Suzuki GSX-S150, SV650, Kawasaki ตระกูล Z เป็นต้น
Dual Sport / Dual Purpose / Adventure / Adventure Sport
มอเตอร์ไซค์ในแนวนี้ก็เป็นการต่อยอดมาจากรูปแบบของมอเตอร์ไซค์ Naked อีกที โดยรูปแบบการใช้งานนั้นจะแบ่งออกเป็นสองลักษณะใหญ่ๆ คือใช้ได้ทั้งทางเรียบและทางวิบาก ซึ่งเราจะสังเกตได้ที่ระบบกันสะเทือนหน้าที่จะมีระยะการยุบตัวที่ยาวกว่ารถในแนวปกติ รวมไปถึงรูปแบบของยางที่จะเป็นแบบร่องลึกเพื่อการตะกุยดิน หิน ทราย ในการเดินทางในรูปแบบ Off-road
Dirt Bike / Off Road
ดูแบบผ่านๆ อาจจะแยกไม่ออกจากแนวทางของรถมอเตอร์ไซค์ Dual Sport / Dual Purpose สักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่แตกต่างและเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือรูปแบบของมันนั้นจะถูกออกแบบมาเพื่อทางวิบากโดยเฉพาะ น้ำหนักตัวรถจะมีความเบากว่า Dual sport / Dual Purpose เป็นอย่างมาก รวมทั้งรูปแบบของยางที่จะเป็นยางแบบบั้ง ที่จะสามารถตะลุยเส้นทางวิบาก ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น โคลน หิน ทราย หรือน้ำที่ไม่ลึกจนมิดตัวรถ นั่นเอง
Sport Fairing / Super Sport / Super Bike
รถมอเตอร์ไซค์ในแนวนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย ด้วยรูปแบบที่เราๆ ท่านๆ เห็นกันจนชินตาในสนามการแข่งขัน และมันก็เป็นรูปแบบที่เพื่อนๆ หลายๆ คนอยากจะเป็นเจ้าของครอบครองมากที่สุด โดยรูปแบบของเครื่องยนต์นั้นมีความเหมือนกับรถในแนวของ Naked ทุกประการ โดยพิกัดเครื่องยนต์ สามารถมีได้ตั้งแต่ 125 – 1400 ซีซี เลยทีเดียว ท่วงท่าในการขับขี่นั้นผู้ขับขี่จะต้องโน้มตัวไปข้างหน้าและพักเท้าจะเยื้องมาด้านหลังเล็กน้อย โดย Section ย่อยของ Sport Firing นั้นจะมีพิกัดเครื่องยนต์ตั้งแต่ 150 – 650 ซีซี Super Sport จะมีพิกัดเครื่องยนต์ขนาด 650 – 900 ซีซี ส่วนของ Super Bike จะมีพิกัดเครื่องยนต์ขนาด 950 – 1300 ซีซี โดยประมาณ
Sport Touring
ความแตกต่างของรถในแนว Sport Firing กับ Sport Touring นั้นจะอยู่ที่พื้นฐานเครื่องยนต์ 2 – 6 ลูกสูบ พิกัดเครื่องยนต์ขนาด 500-1800 ซีซี โดยจะมีชิ้นส่วนแฟร์ริ่งเช่นเดียวกับ Sport Firing แต่แฮนเดิ้ลบาร์ที่ติดตั้งมานั้นจะไม่กดต่ำแบบ Sport Firing โดยจุดประสงค์หลักของรถมอเตอร์ไซค์ในแนวนี้ก็คือการเดินทางในระยะกลางถึงไกล ยกตัวอย่างเช่น Kawasaki ZZR1400, Ninja H2 SX, Yamaha FJR1300
Cruiser / Custom / Chopper
รถมอเตอร์ไซค์ในแนวทางนี้จะมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นออกมาอย่างชัดเจน ด้วยชิ้นส่วนของแฟร์ริ่งนั้นจะมีน้อยถึงน้อยที่สุด ตัวเครื่องยนต์จะเปลือยเปล่าไม่มีส่วนปกบิด ด้วยการวางตำแหน่งท่าทางในการขับขี่ที่หลังจะตรงตลอดเวลา องศาเลี้ยวรถจะกว้างกว่าปกติ และเครื่องยนต์ส่วนมากจะเลือกใช้เครื่องยนต์แบบ 2 ลูกสูบ ขึ้นไป จนไปถึง 6 ลูกสูบเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น Triumph Bonneville, Harley Davidson หรือแม้กระทั้ง Kawasaki Vulcan 650 ก็นับเป็นแนวทางของรถ Cruiser ด้วยเช่นกัน โดยปัจจุบันมีแนวทางของรถที่แตกออกไปอีกหลากหลายรูปแบบทั้ง Boober, Café, Café Racer, Tracker และ Classic Adventure เป็นต้น
Touring / Luxury Touring
สิ่งที่แบ่งแยกรถมอเตอร์ไซค์แนวนี้ออกได้อย่างชัดเจนที่สุดก็คือรูปร่างที่มีขนาดใหญ่โตของมัน ด้วยเครื่องยนต์ที่นิยมกันตั้งแต่ 1200 – 1800 ซีซี ซึ่งส่วนมากนั้นจะเลือกใช้เครื่องยนต์ขนาด 2 ลูกสูบขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ สองลูกสูบเรียง, สองลูกสูบ V-twin, 2 ลูกสูบแบบ Flat Boxer ไล่ไปจนถึง แบบ 8 ลูกสูบก็มีให้เห็นมาแล้ว โดยรถในแนวนี้จะติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการเดินทางไว้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น ระบบนำทางดาวเทียม GPS ชุดฮีตเตอร์ให้ความอุ่นทั้งที่เบาะนั่งและแฮนด์รถ ระบบเครื่องเสียงความบันเทิงขณะขับขี่ ซึ่งอุปกรณ์พวกนี้จะอำนวยความสะดวกต่างๆในเวลาที่เราขับขี่เดินทางเป็นระยะทางที่ผู้ขับขี่ต้องการ
ไล่เรียงมาถึงจุดนี้ก็น่าจะครบถ้วนทั้งหมดของรูปแบบของรถมอเตอร์ไซค์ที่มีในท้องตลาดในปัจจุบันกันแล้วนะครับ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆไม่มากก็น้อยนะครับ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.totalmotorcycle.com