คุณเคยหรือไม่? เมื่อขับขี่มอเตอร์ไซค์ และจำเป็นต้องจอดรถบนทางชัน หรือบนทางที่มีลักษณะเป็นเนินลาดเอียงอย่างหลีก พอออกรถ บางครั้งก็ออกตัวลำบาก หรือไม่ก็ไม่นุ่มนวล รถไหลไปด้านหลัง จริงๆ แล้วการออกตัวบนทางลาดชันก็จำเป็นต้องมีวิธีการที่ถูกต้อง ไปดูกันว่าต้องทำอย่างไรบ้าง
เทคนิคควรรู้ การขับขี่บนทางลาดชัน
1. มองให้แน่ใจว่าปลอดภัย
2. ใช้เท้าเบรกหลังไว้
3. บิดคันเร่งและปล่อยเบรกช้าๆ
4. ห้ามใช้เบรกหน้า
5. การจัดท่านั่ง
เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ในการออกรถบนทางลาดชัน นับว่ามีส่วนช่วยให้การขับขี่มอเตอร์ไซค์ปลอดภัยมากขึ้น พร้อมกับการขับขี่อย่างไม่ประมาทและเคารพกฏหมายด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก checkraka
รูปแบบของรถมอเตอร์ไซค์ในปัจจุบัน
เพื่อนๆ หลายๆ คนที่กำลังสนใจความรู้เกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซค์ หรือบรรดาผู้เล่นรถมอเตอร์ไซค์หน้าใหม่ อาจจะสงสัยการแบ่งประเภทของรถมอเตอร์ไซค์ในตลาดปัจจุบันว่าทรงนี้เค้าเรียกว่า อะไร ทรงนั้นเค้าเรียกว่าอะไร วันนี้ทีมงาน GreatBiker จะขอพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับรถมอเตอร์ไซค์ในแต่ล่ะรูปแบบในท้องตลาดขณะนี้กันครับ
Standard
ชื่อก็บอกตรงตัวเลยครับว่ามันเป็นมาตรฐาน ซึ่งเราสามารถพบเจอเจ้ารถพวกนี้ได้บนท้องถนนกว่า 90% เลยทีเดียว โดยพื้นฐานของรถในแนวนี้จะมีเครื่องยนต์ขนาด 1 ลูกสูบ พิกัดเครื่องยนต์ตั้งแต่ 50 cc – 200 cc โดยรถประเภทนี้จะต้องมีระบบเกียร์ในการขับเคลื่อน และเราสามารถแยกออกจากรถประเภทอื่นๆ ได้อย่างง่ายๆ ด้วยท่าทางในการขับขี่ที่หลังจะตรงและขาทั้งสองข้างจะทิ้งลงในแนวดิ่ง ยกตัวอย่างเช่น Honda Supercup หรือ Yamaha Exciter เป็นต้น
Automatic / Scooter / Big Scooter
รถมอเตอร์ไซค์ในแนวนี้จะเป็นการต่อยอดมาจากรูปแบบของรถ Standard โดยจะใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ เข้ามาเป็นระบบขับเคลื่อนหลัง โดยเครื่องยนต์จะมี 1 – 4 ลูกสูบ แล้วแต่ขนาดซีซีของเครื่องยนต์โดยไล่ไปตั้งแต่ 100 – 800 ซีซี โดยท่วงท่าในการขับขี่จะคล้ายคลึงกับรถมอเตอร์ไซค์ในแนว Standard แต่อาจจะมีการวางตำแหน่งเท้าที่เยื้องไปด้านหน้า ยกตัวอย่างเช่น Yamah Fino, Aerox, Qbix, ตระกูล max หรือ Honda Scoopy, PCX, Forza, X-ADV หรือจะเป็น Big Scooter ขนาดใหญ่อย่าง Suzuki Burgman เป็นต้น
Naked
ขยับขึ้นมาเป็นรถในแนวบิ๊กไบค์ที่เราๆ คุ้นเคยกันบ้าง โดยเจ้า Naked นั้นจะสังเกตได้ง่ายๆ ด้วยชิ้นส่วนของแฟร์ริ่งที่จะมีน้อยชิ้นกว่า Sport Fairing โดยพิกัดเครื่องยนต์จะอยู่ที่ขนาด 125 – 1300 ซีซี เครื่องยนต์นั้นมีได้ตั้งแต่ 1- 4 ลูกสูบ โดยแยกประเภทได้เป็น ลูกสูบเดี่ยว สองลูกสูบเรียง สองลูกสูบ V-Twin หรือ L –Twin (แล้วแต่องศาในการวางเครื่องยนต์) สองลูกสูบนอน (Flat- Boxer) สามลูกสูบเรียง สี่ลูกสูบเรียง สี่ลูกสูบ V4 ซึ่งบรรดาเครื่องยนต์แต่ล่ะรูปแบบจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเจ้า Naked ที่เราเห็นกันอยู่ประจำยกตัวอย่างเช่น Honda ตระกูล CB ทั้งหลาย Yamaha M-slaz และตระกูล MT, Suzuki GSX-S150, SV650, Kawasaki ตระกูล Z เป็นต้น
Dual Sport / Dual Purpose / Adventure / Adventure Sport
มอเตอร์ไซค์ในแนวนี้ก็เป็นการต่อยอดมาจากรูปแบบของมอเตอร์ไซค์ Naked อีกที โดยรูปแบบการใช้งานนั้นจะแบ่งออกเป็นสองลักษณะใหญ่ๆ คือใช้ได้ทั้งทางเรียบและทางวิบาก ซึ่งเราจะสังเกตได้ที่ระบบกันสะเทือนหน้าที่จะมีระยะการยุบตัวที่ยาวกว่ารถในแนวปกติ รวมไปถึงรูปแบบของยางที่จะเป็นแบบร่องลึกเพื่อการตะกุยดิน หิน ทราย ในการเดินทางในรูปแบบ Off-road
Dirt Bike / Off Road
ดูแบบผ่านๆ อาจจะแยกไม่ออกจากแนวทางของรถมอเตอร์ไซค์ Dual Sport / Dual Purpose สักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่แตกต่างและเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือรูปแบบของมันนั้นจะถูกออกแบบมาเพื่อทางวิบากโดยเฉพาะ น้ำหนักตัวรถจะมีความเบากว่า Dual sport / Dual Purpose เป็นอย่างมาก รวมทั้งรูปแบบของยางที่จะเป็นยางแบบบั้ง ที่จะสามารถตะลุยเส้นทางวิบาก ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น โคลน หิน ทราย หรือน้ำที่ไม่ลึกจนมิดตัวรถ นั่นเอง
Sport Fairing / Super Sport / Super Bike
รถมอเตอร์ไซค์ในแนวนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย ด้วยรูปแบบที่เราๆ ท่านๆ เห็นกันจนชินตาในสนามการแข่งขัน และมันก็เป็นรูปแบบที่เพื่อนๆ หลายๆ คนอยากจะเป็นเจ้าของครอบครองมากที่สุด โดยรูปแบบของเครื่องยนต์นั้นมีความเหมือนกับรถในแนวของ Naked ทุกประการ โดยพิกัดเครื่องยนต์ สามารถมีได้ตั้งแต่ 125 – 1400 ซีซี เลยทีเดียว ท่วงท่าในการขับขี่นั้นผู้ขับขี่จะต้องโน้มตัวไปข้างหน้าและพักเท้าจะเยื้องมาด้านหลังเล็กน้อย โดย Section ย่อยของ Sport Firing นั้นจะมีพิกัดเครื่องยนต์ตั้งแต่ 150 – 650 ซีซี Super Sport จะมีพิกัดเครื่องยนต์ขนาด 650 – 900 ซีซี ส่วนของ Super Bike จะมีพิกัดเครื่องยนต์ขนาด 950 – 1300 ซีซี โดยประมาณ
Sport Touring
ความแตกต่างของรถในแนว Sport Firing กับ Sport Touring นั้นจะอยู่ที่พื้นฐานเครื่องยนต์ 2 – 6 ลูกสูบ พิกัดเครื่องยนต์ขนาด 500-1800 ซีซี โดยจะมีชิ้นส่วนแฟร์ริ่งเช่นเดียวกับ Sport Firing แต่แฮนเดิ้ลบาร์ที่ติดตั้งมานั้นจะไม่กดต่ำแบบ Sport Firing โดยจุดประสงค์หลักของรถมอเตอร์ไซค์ในแนวนี้ก็คือการเดินทางในระยะกลางถึงไกล ยกตัวอย่างเช่น Kawasaki ZZR1400, Ninja H2 SX, Yamaha FJR1300
Cruiser / Custom / Chopper
รถมอเตอร์ไซค์ในแนวทางนี้จะมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นออกมาอย่างชัดเจน ด้วยชิ้นส่วนของแฟร์ริ่งนั้นจะมีน้อยถึงน้อยที่สุด ตัวเครื่องยนต์จะเปลือยเปล่าไม่มีส่วนปกบิด ด้วยการวางตำแหน่งท่าทางในการขับขี่ที่หลังจะตรงตลอดเวลา องศาเลี้ยวรถจะกว้างกว่าปกติ และเครื่องยนต์ส่วนมากจะเลือกใช้เครื่องยนต์แบบ 2 ลูกสูบ ขึ้นไป จนไปถึง 6 ลูกสูบเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น Triumph Bonneville, Harley Davidson หรือแม้กระทั้ง Kawasaki Vulcan 650 ก็นับเป็นแนวทางของรถ Cruiser ด้วยเช่นกัน โดยปัจจุบันมีแนวทางของรถที่แตกออกไปอีกหลากหลายรูปแบบทั้ง Boober, Café, Café Racer, Tracker และ Classic Adventure เป็นต้น
Touring / Luxury Touring
สิ่งที่แบ่งแยกรถมอเตอร์ไซค์แนวนี้ออกได้อย่างชัดเจนที่สุดก็คือรูปร่างที่มีขนาดใหญ่โตของมัน ด้วยเครื่องยนต์ที่นิยมกันตั้งแต่ 1200 – 1800 ซีซี ซึ่งส่วนมากนั้นจะเลือกใช้เครื่องยนต์ขนาด 2 ลูกสูบขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ สองลูกสูบเรียง, สองลูกสูบ V-twin, 2 ลูกสูบแบบ Flat Boxer ไล่ไปจนถึง แบบ 8 ลูกสูบก็มีให้เห็นมาแล้ว โดยรถในแนวนี้จะติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการเดินทางไว้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น ระบบนำทางดาวเทียม GPS ชุดฮีตเตอร์ให้ความอุ่นทั้งที่เบาะนั่งและแฮนด์รถ ระบบเครื่องเสียงความบันเทิงขณะขับขี่ ซึ่งอุปกรณ์พวกนี้จะอำนวยความสะดวกต่างๆในเวลาที่เราขับขี่เดินทางเป็นระยะทางที่ผู้ขับขี่ต้องการ
ไล่เรียงมาถึงจุดนี้ก็น่าจะครบถ้วนทั้งหมดของรูปแบบของรถมอเตอร์ไซค์ที่มีในท้องตลาดในปัจจุบันกันแล้วนะครับ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆไม่มากก็น้อยนะครับ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.totalmotorcycle.com
Bigbike แตกต่างกับมอเตอร์ไซค์เล็กอย่างไร
อย่างที่หลายๆ คนคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า รถมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กที่เราพบเห็นกันได้ทั่วไปนั้น โดยส่วนใหญ่แล้ว คงจะไม่มีใครที่ขับไม่เป็น เนื่องด้วยการควบคุมที่แสนจะง่ายดาย ภายใต้ขนาดที่กะทัดรัด มีความคล่องตัวสูง แต่สำหรับมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่หรือ Bigbike (บิ๊กไบค์) นั้น บางคนก็คงจะคิดกันไปเองว่า เมื่อขับรถมอเตอร์ไซค์ทั่วไปได้ ขับรถยนต์ได้ ก็สามารถขับบิ๊กไบค์ได้แบบสบายๆ
มอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กทั่วไป
มอเตอร์ไซค์ Bigbike
วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ชาวสองล้อทุกคนมาเจาะลึกประเด็นที่ว่า การขี่มอเตอร์ไซค์ Bigbike แตกต่างกับการควบคุมมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กตรงไหน อย่างไรบ้าง แล้วเราควรจะทำอย่างไร เพื่อให้ขับขี่รถบิ๊กไบค์ได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
Harley-Davidson 48
ความแตกต่างของมอเตอร์ไซค์ Bigbike ที่ส่งผลต่อการขับขี่ ซึ่งต้องใช้ทักษะมากกว่าการขับรถมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กมีดังนี้
1. การเลี้ยว
แน่นอนว่ารถมอเตอร์ไซค์ทั่วไป คนส่วนใหญ่จะคิดกันว่าการเลี้ยว เราจะต้องใช้แฮนด์ในการควบคุมเป็นหลัก แต่สำหรับบิ๊กไบค์นั้น จริงๆ แล้ว การเลี้ยวจะขึ้นอยู่กับการใช้หัวไหล่ เป็นตัวถ่ายเทน้ำหนัก โดยจะมีความสัมพันธ์กับช่วงตัว และอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญก็คือ สายตา เราจึงต้องรู้วิธีการเลี้ยวอย่างถูกต้อง โดยอาจฝึกฝนให้เกิดความชำนาญก่อนนั่นเอง
2. น้ำหนัก
น้ำหนักของรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์นั้น มากกว่ารถจักรยานยนต์แบบทั่วไปอยู่แล้ว มันจึงส่งผลต่อทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นช่วงการเลี้ยว การขับขี่ การเบรค ผู้ขับขี่จึงควรสร้างความเคยชินให้เกิดขึ้นกับตัวรถ ก่อนที่จะไปขับขี่ด้วยความเร็วสูง
3. ความแรง
ยิ่งเป็นรถ Bigbike ที่มี ซีซี. หรือขนาดความจุเครื่องยนต์สูงๆ แล้ว แน่นอนว่ามันก็จะต้องส่งผลให้การขับขี่ของเราแตกต่างไปจากมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กโดยสิ้นเชิง
4. ระยะการเบรค
เมื่อรถแรงแล้ว เราก็สมควรรู้ช่วงการเบรคของรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นๆ ด้วยว่ามาด้วยความเร็วขนาดไหน ควรจะเริ่มชะลอความเร็วตั้งแต่ระยะทางเท่าไหร่ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งข้อควรระวังที่มีความสำคัญไม่แพ้ส่วนอื่นๆ เลยทีเดียวครับ
5. ระบบต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นระบบเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มอเตอร์ไซค์ Bigbike มีมาให้อย่างครบครัน แน่นอนว่าเราควรจะศึกษาแต่ละระบบอย่างละเอียด เพื่อจะได้นำมาใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
Yamaha MT-09 Tracer
นอกจากนี้ความแตกต่างระหว่างมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็ก กับมอเตอร์ไซค์ Bigbike ก็อาจจะมีอยู่อีกในหลายๆ จุดด้วยกันนะครับ ส่วนใครที่กำลังมีความสนใจอยากจะขับขี่บิ๊กไบค์แล้วล่ะก็ ควรศึกษา หาข้อมูลให้เยอะๆ ไว้ก่อนก็ดีนะครับ หรือถ้ายังไม่มั่นใจก็สามารถไปหาคอร์สเรียนกันได้ เพราะตอนนี้มีคอร์สเรียนขับบิ๊กไบค์มากมายให้ผู้สนใจได้ไปลงเรียนกัน
Ducati 1199 Panigale
ขอขอบคุณข้อมูลจาก bigbike.boxzaracing
10 เหตุผลที่ทำไมมอเตอร์ไซค์ดีกว่ารถยนต์
แน่นอนหละครับว่าในส่วนของรถยนต์นั้นดีตรงสะดวกสบาย คุ้มแดดคุ้มฝน ตอนอากาศร้อนก็มีแอร์เย็นสบาย ตอนฝนตกก็ไม่เปียก และยังขนคนขนของได้คราวละมากๆ ระบบเครื่องเสียงที่ดีแหกปากร้องคลอโดยไม่ต้องสนใจใคร ให้ความเป็นส่วนตัวที่สุดยอด แต่เรามาดูจุดเด่นของมอเตอร์ไซค์นะครับว่าหากต้องการใช้ในการเดินทางที่ต้องการสัมผัสกับธรรมชาติแล้วรถยนต์นั้นสู้มอเตอร์ไซค์ไม่ได้แน่ๆ มอเตอร์ไซค์ยังให้อะไรอีกมากมายที่คุณคาดไม่ถึง นี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณถึงควรจะซื้อมอเตอร์ไซค์แทนที่จะคิดถึงรถยนต์
ขับไปด้วยความมันส์ระทึก
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในการขับขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามท้องถนนก็คือไม่มีอะไรจะทำให้รู้สึกดีไปกว่านี้อีกแล้ว มันเป็นความท้าทายและเร้าใจอย่างยิ่งหากได้ขับมอเตอร์ไซค์ และยิ่งมีตัวแปรด้านความเสี่ยงมาเกี่ยวข้องก็ยิ่งทำให้การขับขี่นั้นยิ่งเร้าใจมากขึ้น ลองนึกถึงการยืนบนระเบียงชั้นสองกับระเบียงชั้น 20 ซิครับ แม้ทั้งสองที่จะปลอดภัยแต่ชั้น 20 จะเสียวกว่าตรงที่ใจเราจินตนาการว่าหากตกลงไปจะเป็นอย่างไร การขับมอเตอร์ไซค์ก็จะระทึกใจตรงนี้แหละครับ ยิ่งหากขับรถมอเตอร์ไซค์ที่มีซีซีเยอะเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเร้าใจมากขึ้นจากความเร็ว และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นไปด้วย
ค่าบำรุงรักษาต่ำ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ขับมอเตอร์ไซค์จะสิ้นเปลืองน้ำมันน้อยกว่ารถยนต์ ก็ย่อมเผาไหม้น้อยกว่าทำให้อากาศเสียน้อยกว่า และยังเป็นการประหยัดการนำเข้าน้ำมัน หรือพูดสั้นๆว่าขับมอเตอร์ไซค์นั้นประหยัดค่าน้ำมันกว่ารถยนต์เยอะ ไม่ว่าคุณจะสนในเรื่องอนุรักษ์ธรรมชาติหรือไม่ก็ควรจะรู้ว่าการปลดปล่อยคาร์บอนของมอเตอร์ไซค์นั้นน้อยกว่ารถยนต์มาก อีกทั้งค่าบำรุงรักษานั้นไม่โหดเท่ารถยนต์ที่ค่าอะไหล่ ค่าบริการต่างๆ นั้นแพงกว่ามาก
ง่ายต่อการดูแล
มอเตอร์ไซค์มีแค่สองล้อส่วนรถยนต์มีสี่ล้อการเปลี่ยนยางเปลี่ยนผ้าเบรกจึงน้อยกว่า เครื่องยนต์ก็อยู่ในจุดที่เข้าถึงได้ง่ายไม่รกรุงรังเหมือนของรถยนต์ ทำให้การเปลี่ยนหัวเทียนหรือน้ำมันเครื่องนั้นเจ้าของสามารถทำได้ง่ายกว่าการดูแลรถยนต์เยอะ
หาที่จอดง่าย
รถมอเตอร์ไซค์ใช้พื้นที่แค่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่ในการจอดเมื่อเทียบกับรถยนต์ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าสถานที่นั้นจะคับคั่งขนาดไหน เราก็จะหาที่จอดมอเตอร์ไซค์เพื่อลงไปทำธุระได้โดยง่าย ไม่มีคำว่าจอดซ้อนคันสำหรับมอเตอร์ไซค์ พื้นที่สำหรับรถยนต์ซักสามสิบคันอาจจะจอดมอเตอร์ไซค์ได้เป็นร้อย และด้วยวงเลี้ยวของมอเตอร์ไซค์ที่แคบ ทำให้การเข้าจอดการเอารถมอเตอร์ไซค์ออกมาจากที่จอดนั้นทำได้โดยง่าย
ไปได้เร็วกว่า
มอเตอร์ไซค์ขนาดเพียง 250cc นั้นสามารถทำความเร็วได้มากกว่ารถยนต์ซิตี้คาร์ทั่วไป ในฝั่งของรถแรงก็พบว่าจะทำความเร็วได้เทียบเท่ากับ Ninja หรือ Hayabusa แต่ว่าหากไปมองเรื่องราคาแล้ว รถยนต์ที่ว่านั้นอาจจะสูงกว่า 20 ถึง 30 เท่าเลยทีเดียว มอเตอร์ไซค์สามารถวิ่งแทรกรถคันอื่นๆได้หากมีหลายเลน และมอไซค์เปลี่ยนเลนได้เร็ว แถมวิ่งถึงปลายทางได้ไวกว่า
ปลอดภัยกว่า
ในแง่ที่ว่าหากคนขับมอเตอร์ไซค์ไม่คุยโทรศัพท์หรือเล่นไลน์ระหว่างขับมอเตอร์ไซค์แล้วละก็ การขับมอเตอร์ไซค์นั้นปลอดภัยกว่าในแง่ของการหลบหลีกอุบัติเหตุ มุมมองกว้างกว่าเพราะไม่ถูกบดบังด้วยเสา A,B เหมือนในรถยนต์ การควบคุมเบรกนั้นทำได้ดีกว่าเพราะเบรกนั้นอยู่เท้าเดิมตลอด ไม่ต้องสลับระหว่างคันเร่งกับเบรกเหมือนในรถยนต์
อันนี้ไม่ขอเปรียบเทียบในกรณีที่หากเกิดอุบัติเหตุระหว่างรถยนต์กับมอเตอร์ไซค์ที่ว่า รถยนต์อาจจะมีรอยบุบเล็กน้อยแต่คนขับมอเตอร์ไซค์อาจจะต้องนอนโรงพยาบาลเพราะตัวปลิวข้ามรถยนต์ไป
แต่เป็นการเปรียบเทียบในแง่ของทัศนวิศัยในการขับขี่ที่กว้างกว่ารถยนต์มาก ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุได้ดีกว่า
ใกล้ชิดกันมากว่า
เทียบกันดูหากขับรถยนต์กับผู้โดยสารแล้วเราใกล้ชิดกันได้แค่จับมือหรือโอบไหล่ แต่หากเป็นมอเตอร์ไซค์แล้วเราสามารถใกล้ชิดกันได้มากกว่า แค่เหยียบเบรกแรงๆตรงแยกหน้าดูซิครับว่าจะใกล้ชิดกันขนาดไหน
ความรู้สึกเป็นมิตร
เนื่องจากการขับขี่มอเตอร์ไซค์นั้นเราเห็นชัดเจนว่าใครเป็นใคร ทำให้รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมแวดล้อม เหมือนนักบิดทุกคนจะมีความเชื่อมโยงกัน ไม่ถูกบดบังด้วยตัวถึงหรือฟิลม์หนาเหมือนรถยนต์ จะเห็นว่านักบิดมอไซค์นั้นมีความเป็นมิตรมากว่าคนขับรถยนต์มาก
ความรู้สึกเป็นอิสระ
การขับขี่มอเตอร์ไซค์เป็นการพาคุณไปสูดบรรยากาศที่สดชื่นของป่าเขาลำเนาไพร ไม่อุดอู้เหมือนอยู่ในรถยนต์ ความรู้สึกมีอิสระสัมผัสกับธรรมชาตินั้นหาได้กับมอเตอร์ไซค์ทุกคัน ทั้งลมปะทะ ทั้งกลิ่นของต้นไม้และสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่หากขับรถยนต์แล้วก็ต้องเปิดหน้าต่างซึ่งก็จะได้ยินแต่เสียงลม
เหตุผลเหล่านี้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ยังมีอีกหลายเหตุผลว่าทำไมมอเตอร์ไซค์นั้นดีกว่ารถยนต์ ลองค้นหาดูกันนะครับว่าแล้วก็ถอยมอเตอร์ไซค์ออกไปค้นหากันเลยดีไหมครับ
5 สิ่งของต้องมีเตรียมลุย “ฝุ่น”
ชาวขาลุยที่ชื่นชอบการขับขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ว่ารุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ หากต้องการจะออกทริปในสไตล์ “ลุย” เข้าป่าหรือข้ามแม่น้ำลำธาร นอกจากจะต้องเตรียมความพร้อมของรถคู่ใจแล้ว อุปกรณ์การขับขี่เฉพาะกิจการลุยนับว่าจำเป็นไม่แพ้กัน มาดู 5 อย่างของต้องมีเมื่อจะออกทริปแบบขาลุยคลุกฝุ่น
1. หมวกกันน็อค – Helmet
2. แว่นกันฝุ่น – Goggles
3. ถุงมือ – Gloves
4. ชุดสำหรับโมโตครอส – Jersey/Pant
5. รองเท้า – Boots
อุปกรณ์เพิ่มเติม
ส่วนใครที่ใส่ชุดเกราะแบบจัดเต็มอยู่แล้วก็ไม่ต้องใส่เพิ่ม เพราะคงจะหนักเอาการทีเดียว
สำหรับการออกทริปขี่ลุยสวน ลุยป่า แบบ Off-Road เต็มที่ก็ควรเตรียมสิ่งของทั้ง 5 อย่างให้ครบ เพื่อความปลอดภัยและขับขี่ได้สนุกเต็มทีjหายห่วง แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการออกทริปทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็คือ “กระเป๋าใส่ของ” ที่จำเป็นต้องเลือกขนาดที่ใส่ได้ครบๆ และสามารถหิ้วหรือลากได้อย่างสะดวก เพราะน้ำหนักมากๆ แบบนี้คงสะพายขึ้นหลังตลอดไม่ไหวแน่ๆ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก checkraka
10 เรื่องง่ายๆ ที่ไบค์เกอร์ต้องรู้
การขี่มอเตอร์ไซค์เพื่อเดินทาง เพื่อความบันเทิงเริงใจ หรือออกทริปใดๆ ก็มีเรื่องให้ชวนคิดและชั่งใจอยู่เสมอ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือไบค์เกอร์ผู้มากประสบการณ์ก็ตาม และนี่คือ 10 เรื่องง่ายๆ ที่เรารวบรวมไว้ให้อ่านกัน จริงๆ มันก็เหมือนไกด์ที่ช่วยให้เราผ่านไปได้ด้วยดีในแต่ละวัน มอเตอร์ไซค์ไม่หาย ไม่โดนชน ไม่ล้ม ไม่เกิดอุบัติเหตุ เท่านี้ก็ดีแล้วสำหรับไบค์เกอร์ และไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็น Big Bike ขอแค่เป็นมอเตอร์ไซด์สุดรักแรงน้อย แรงมาก ก็ควรรู้ไว้ครับ
1. อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน
2. ล็อคดิสก์ หรือเสียดิสก์
3. ขี่ตามคนเก่ง
4. เบรกตอนเข้าโค้ง !
5. ถ้าได้ขี่ที่อากาศหนาวๆ
6. ให้คิดเสียว่าตอนขี่ คนขับรถคงไม่เห็นเรา
7. ถ้าวันนั้นมันห่วย ก็อย่าขี่เลย
8. ปล่อยวางให้กับพวกขับรถที่พยายามบล็อคทาง
9. อย่าจอดรอต่อท้ายรถ
10. ขี่ชิลๆ บ้างไรบ้าง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก checkraka
ยางรถมอเตอร์ไซค์หน้ากว้างกับหน้าแคบ แตกต่างกันอย่างไร
เกร็ดความรู้เกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซค์ในวันนี้ ไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของยางรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งในปัจจุบันนี้ รถมอเตอร์ไซค์ถือว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ยิ่งสำหรับคนที่ใช้งานในเมืองนั้น รถมอเตอร์ไซค์ถือว่าเป็นรถที่มีความคล่องตัวสูงในการใช้งานเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่สำคัญในการใช้งานอีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคญก็คือ เรื่องของยางรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งในวันนี้เราจะไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับยางหน้ากว้างและยางหน้าแคบ นั้นมีข้อแตกต่างกันอย่างไร
สำหรับเรื่องของยางหน้ากว้างและยางหน้าแคบนั้น มีผลต่อการใช้งานเป็นอย่างมาก ซึ่งยางทั้ง 2 รูปแบบนี้ มีการใช้งานที่แตกต่างกันดังนี้
ยางหน้าแคบ
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบในแต่งรถมอเตอร์ไซค์นั้น ส่วนใหญ่จะนิยมในการเปลี่ยนยางมาใช้ยางที่เป็นแบบหน้าแคบ เนื่องจากยางหน้าแคบจะมีน้ำหนักที่เบา และสามารถทำความเร็วเพิ่มขึ้นได้ แต่ข้อเสียของยางประเภทนี้ก็คือ จะหยึดเกาะถนนได้น้อย เพราะมีขนาดหน้ายางที่สัมผัสพื้นถนนน้อย ทำให้การยึดเกาะต่ำ และต้องระวังเป็นอย่างมากเวลาที่เจอพื้นถนนที่ลื่น และทางโค้ง
ยางหน้ากว้าง
ยางหน้ากว้างนั้น จะเหมาะกับการขับขี่ทั่วไป ซึ่งยางหน้ากว้างจะให้การยึดเกาะถนนได้ดีและยังให้ความนิ่มนวลในการขับขี่อีกด้วย และเวลาที่มีขับขี่แล้วเจอเศษก้อนกรวด ก้อนหิน เศษดิน และทราย ทำให้โอกาสลื่นไถลนั้นน้อยกว่า เวลาเจอยางที่เป็นหน้าแคบ ซึ่งทำให้มีความปลอดภัยที่สูงกว่ายางหน้าแคบ ที่แก้มยางบางๆ
เรื่องของการเลือกใช้ยางมอเตอร์ไซค์นั้น ตามจริงแล้ว ไม่ได้มีกฏตายตัวว่าจะต้องใช้แบบไหน แต่ก็อยากให้คำนึงถึงสภาพพื้นถนน และสภาพการจารจรเป็นหลักมากกว่า ซึ่งไม่ว่าจะเลือกใช้ยางแบบไหนสิ่งสำคัญในการขับขี่ ก็คือ ความระมัดระวังในการขับขี่เป็นหลัก ในการใช้รถใช้ถนน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก bigbike.boxzaracing
ผ้าเบรคมอเตอร์ไซค์จะมีอาการอย่างไร เมื่อใกล้หมดอายุ
ผ้าเบรคแบรนด์ Hawk Performance
ผ้าเบรคถือว่าเป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญของรถจักรยานยนต์เลยก็ว่าได้ ซึ่งเชื่อว่าชาวไบค์เกอร์ที่ใช้รถจักรยานยนต์อยู่บ่อยๆ หรือใช้มาค่อนข้างนานพอสมควร อาจจะเคยเจออาการและเสียงแปลกๆ เวลากดเบรค ไม่ว่าจะเป็นเบรคหน้าหรือเบรคหลัง ซึ่งเสียงดังจะดังแบบเอี๊ยดๆ คล้ายๆ กับเสียงเหล็กเสียดสีกัน หรือเวลาแตะเบรคทีไร จะรู้สึกเบรคไม่ค่อยหนึบเหมือนเดิม บางรายอาจเกิดกรณีเบรคไม่ค่อยจะอยู่ หรือเบรคแล้วรู้สึกว่าล้อสั่นๆ ใช้แล้วค่ะ…ถ้าเกิดอาการแบบนี้ ให้สันนิษฐานก่อนเลย ว่าผ้าเบรคของรถมอไซค์คู่ใจของคุณนั้น เริ่มสึกหรอ หรือใกล้หมดอายุการใช้งานแล้วค่ะ
ผ้าเบรคมอเตอร์ไซค์ที่ใกล้หมด
สำหรับผ้าเบรครถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์นั้น หลักๆ จะมีด้วยกัน 2 ส่วน คือ เนื้อผ้าเบรค กับแผ่นโลหะ ซึ่งเจ้าผ้าเบรคนี้แหละค่ะ ที่มีคุณสมบัติที่จะช่วยสร้างความฝืดในขณะที่ต้องการหยุด ส่วนแผ่นโหละจะรองเจ้าตัวผ้าเบรคอยู่อีกที ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดเสียงก็เป็นเพราะเนื้อผ้าเบรคบางลง จนทำให้เวลากดเบรคแล้ว ชิ้นส่วนโลหะไปสีกับจานเบรคจึงทำให้เกิดเสียงขึ้น
รูปแสดงผ้าเบรคเก่า และผ้าเบรคใหม่
ซึ่งเมื่อเกิดอาการดังกล่าว ห้ามปล่อยปละละเลยเป็นอันขาด ต้องรีบทำการเปลี่ยนโดยเร็วที่สุด โดยถ้าไม่รีบเปลี่ยน หรือยังทนใช้ผ้าเบรคส่วนบริเวณเนื้อผ้าเบรคเริ่มบางลงแล้วล่ะ ก็อาจจะเกิดอาการผ้าเบรคกินจาน คือ เจ้าแผ่นโลหะจะเสียดสีกับจานเบรค และหากปล่อยให้เสียดสีกันนานๆ หรือปล่อยทิ้งไว้ อาจจะทำให้จานเบรคบางลงเรื่อยๆ จนอาจจะแตกได้ในที่สุด
สำหรับวิธีการตรวจเช็คเบื้องต้นด้วยตัวเอง แนะนำให้เพื่อนๆ หมั่นสังเกตที่ตัวปั๊มบนเบรคว่าน้ำมันเบรคพร่องลงไปมากน้อยเพียงใด หรือลองดูที่คาลิเปอร์ว่าผ้าเบรคบางลงมากน้อยเพียงใด มีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ผิดปกติหรือไม่
ตัวอย่างแสดงความสมบูรณ์ของผ้าเบรค
ส่วนผ้าเบรคบางลงมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวผ้าเบรคไม่มีอายุของการใช้งานที่ชัดเจนเพราะส่วนใหญ่แล้ว ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบุคคล โดยหลักๆ ทุกๆ 6 เดือน หรือทุกๆ 4,000 กม. ก็ควรจะตรวจเช็คสภาพผ้าเบรค และควรเปลี่ยนหากพบสิ่งผิดปกติ หรือสึกหรอมากกว่าปกติ ซึ่งควรไล่เช็คระบบเพื่อการทำงานอย่างสมบูรณ์ เต็มประสิทธิภาพด้วย
รูปแสดงผ้าเบรค
ขอขอบคุณข้อมูลจาก motorcycle.boxzaracing
รถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก ไม่ควรใช้น้ำมันเครื่องทั่วไปจริงหรือ ??
ในยุคปัจจุบันรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก หรือ Scooter กำลังได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก ด้วยความสะดวกสบายในการขับขี่ และความคล่องตัวที่เหมาะกับการจราจรในประเทศไทย ซึ่งรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก ต้องการการดูแลรักษาที่แตกต่างจากรถมอเตอร์ไซค์ทั่วๆ ไป โดยปัจจัยหลักที่จะช่วยยืดอายุการใช้งาน และทำให้รถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติกนั้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นก็คือ น้ำมันเครื่อง ซึ่งหลายๆ ท่านมักจะมีความเชื่อ และความเข้าใจผิดที่ว่า น้ำมันเครื่องสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติกนั้น จะใช้แบบไหนก็เหมือนกัน วันนี้จะพาทุกท่านไปไขข้อข้องใจ ว่าทำไม…รถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติกถึงต้องเลือกใช้น้ำมันเครื่องสำหรับรถออโตเมติกโดยเฉพาะ
รถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก ควรใช้น้ำมันเครื่องสำหรับออโตเมติกโดยเฉพาะ
ความเชื่อที่ว่า…น้ำมันเครื่องสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ จะใช้แบบไหนก็เหมือนกัน เป็นความเชื่อที่ผิด แม้จะเป็นยานพาหนะประเภทเดียวกัน แต่รถมอเตอร์ไซค์แต่ละประเภท ต่างก็ต้องการการดูแลจากน้ำมันเครื่องที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก ที่มีเครื่องยนต์ขนาดเล็ก แต่ต้องทำงานที่ความเร็ว และรอบที่สูงตลอดเวลา จึงทำให้เกิดความร้อนสะสมสูงกว่าเครื่องยนต์ 4 จังหวะทั่วไป หากใช้น้ำมันเครื่องไม่เหมาะสม จะทำให้น้ำมันเครื่องเกิดยางเหนียว และเขม่าสะสม ซึ่งเป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้ท่อทางเดินของน้ำมันเครื่องอุดตัน จนทำให้เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น และเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
น้ำมันเครื่องสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติกโดยเฉพาะ ช่วยลดการเกิดเขม่า และช่วยลดความร้อนสะสมของเครื่องยนต์
พร้อมยืดอายุการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าน้ำมันเครื่องทั่วไป
และนี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไม รถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก ถึงควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่ผลิตมาเพื่อเครื่องยนต์ออโตเมติกโดยเฉพาะ หากเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่ถูกประเภทของรถ ก็จะสามารถปกป้องดูแลตัวรถได้อย่างถูกจุด และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันก็มีน้ำมันเครื่องสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติกโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากมาตรฐาน JASO MB ซึ่งจะระบุไว้ที่บรรจุภัณฑ์ หากใช้น้ำมันเครื่องได้ถูกประเภท ก็จะสามารถลดแรงเสียดทาน ให้อัตราเร่งดี เพราะเป็นน้ำมันที่มีค่าแรงเสียดทานต่ำ หรือ มีความลื่นสูง นอกจากนั้นยังมีสารพิเศษช่วยลดการเกิดเขม่า ซึ่งจะมีสารพิเศษช่วยลดการเกิดเขม่า และลดตะกอนโคลนในเครื่องยนต์ ฟิล์มน้ำมันยึดเกาะ และคงสภาพความหนืดได้ยาวนานกว่า ช่วยต้านทานการเกิดอ๊อกซิเดชั่น ลดการสูญเสียกำลังเครื่องยนต์ และคงทนต่อการเสื่อมสภาพได้ดี ช่วยยืดอายุการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสมรรถนะที่ดีกว่าของเครื่องยนต์
น้ำมันเฟืองท้าย ช่วยปกป้อง และลดการสึกหรอของชุดเกียร์ ยืดอายุการใช้งาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่
ยิ่งไปกว่านั้นเทคโนโลยีของมอเตอร์ไซค์ในปัจจุบันพัฒนามากขึ้น รอบจัดขึ้น ส่งผลให้ชุดเฟืองท้ายทำงานหนักขึ้น และมีการกระทบกันโดยตรงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อการปกป้องที่ดีกว่า และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ วิ่งดี…ไม่มีสะดุด ก็ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเฟืองท้าย คู่กับน้ำมันเครื่องด้วย เพื่อช่วยปกป้อง และลดการสึกหรอของชุดเกียร์ ยืดอายุการใช้งาน และลดเสียงหอนของเกียร์ได้อย่างเห็นผล เหมาะกับทุกสภาพการใช้งาน โดยเฉพาะรถที่วิ่งรอบจัด หรือใช้งานหนัก โดยหากเปลี่ยนคู่กับ น้ำมันเครื่องสำหรับรถออโตเมติกโดยเฉพาะ จะเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่างได้อย่างชัดเจน
ซึ่งหากใครที่กำลังมองหาน้ำมันเครื่องสำหรับรถออโตเมติกโดยเฉพาะ และน้ำมันเฟืองท้ายที่มีคุณภาพ ในตอนนี้ทาง Castrol มีแพ็คคู่สุดคุ้ม ที่มีทั้งน้ำมันเครื่องสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ AT พร้อมกับน้ำมันเฟืองท้ายในกล่องเดียว แถมยังมีให้เลือกตามความเหมาะสมของการใช้งานอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่รักความแรงที่ต้องการคงอัตราเร่งได้ดั่งใจ ก็มีชุดแพ็คคู่ทองสุดคุ้ม ส่วนผู้ที่รักการปกป้องเครื่องยนต์ตลอด 24 ชั่วโมง ก็มีชุดแพ็คคู่เงินสุดคุ้ม ที่มาพร้อมกับน้ำมันเฟืองท้ายที่มีสารเพิ่มคุณภาพประเภทที่สามารถรับแรงกดอัดได้มากขึ้นกว่าเดิม (Extreme Pressure, Ep), API GL-5 ที่ปกป้องได้มากขึ้น ทนต่อแรงตัดเฉือนและรับแรงกระแทกจากการส่งกำลังงานของชุดฟันเฟืองได้ดียิ่งขึ้น นี่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับคนรักรถในการดูแลปกป้องรถอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยขั้นตอนง่ายๆ ที่ซื้อภายในขั้นตอนเดียว พิเศษสำหรับคนรักรถนะครับ
เลือกใช้น้ำมันเครื่องที่ถูกประเภทเครื่องยนต์ เพื่อการปกป้องที่ดีกว่า และใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ
ละนี่เป็นเกร็ดความรู้ที่จะไขทุกข้อข้องใจ และแก้ไขความเชื่อผิดๆ ในการเลือกใช้น้ำมันเครื่องสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก เพื่อให้เหล่าไบค์เกอร์ทุกท่านได้นำกลับไปดูแลรักษารถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติกคันโปรด ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และช่วยยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานอย่างมีประสิทธิภาพ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก motorcycle.boxzaracing
ชนิดน้ำมันหล่อลื่นของจักรยานยนต์
จักรยานยนต์รุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันหันมาใช้เครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะมากขึ้น เนื่องจากสมรรถนะโดยรวมที่ดีกว่าแบบ 2 จังหวะ อีกทั้งยังประหยัดเชื้อเพลิง และปล่อยมลพิษน้อยกว่า บริษัทผู้ผลิตจักรยานยนต์จึงนิยมนำมาใช้ในอุตสาหกรรมจักรยานยนต์เชิงพาณิชย์มากขึ้นตามไปด้วย และสิ่งสำคัญ ที่เราควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการดูแลรักษาเครื่องยนต์ 4 จังหวะ อันดับแรกก็คือ “น้ำมันหล่อลื่น”
น้ำมันหล่อลื่นสำหรับจักรยานยนต์นั้นที่จริงแล้ว ใช้มาตรฐานเดียวหรือใกล้เคียงกับรถยนต์นั่นเอง แตกต่างกันที่เกรด และขนิดของพื้นฐานน้ำมันที่ใช้ผลิต เช่น SAE (Society Of Automotive Engineers) หรือสมาคมวิศวกรรมยานยนต์แห่งสหรัฐอเมริกา ได้วางมาตรฐานโดยแบ่งตามค่าความข้นใส SAE 5W-40 คือ มาตรฐานอเมริกา ที่อุณหภูมิต่ำประมาณ -25 องศา ความหนืดอยู่ที่ 5 (W/ บ่งบอกว่าฤดูหนาว) ส่วนเมื่ออุณหภูมิสูงๆ ไม่เกิน 100 องศา ค่าความหนืดอยู่ที่ 40
สำหรับน้ำมันหล่อลื่นจักรยานยนต์นั้นมีหลายชนิดให้เลือก ขึ้นอยู่กับประเภท แบบ หรือรุ่นของเครื่องยนต์รวมทั้งลักษณะการใช้งานในภูมิประเทศนั้นๆ เป็นหลักครับ
สำหรับน้ำมันหล่อลื่นจักรยานยนต์นั้นมีหลายชนิดให้เลือก ขึ้นอยู่กับประเภท แบบ หรือรุ่นของเครื่องยนต์รวมทั้งลักษณะการใช้งานในภูมิประเทศนั้นๆ เป็นหลักครับ
ชนิดของน้ำมัน
1.น้ำมันเครื่องเกรดมาตรฐานทั่วไป
เหมาะสำหรับรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะทั่วไปที่เน้นใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ใช้ความเร็วสูงต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ หรือใช้ความเร็วสูงๆ บางครั้ง และราคาค่อนข้างถูกกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ
2. น้ำมันเครื่องแบบกึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic)
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสมรรถนะเพิ่มมากขึ้น แต่ยังเน้นความประหยัดด้านราคา ซึ่งคุณภาพจะดีกว่าในชนิดธรรมดา และยืดอายุการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องได้มากกว่า
3.น้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์ หรือ (Fully Synthetic)
เหมาะสำหรับรถสมรรถนะสูง หรือผู้ต้องการความทนทาน และการปกป้องชิ้นส่วนที่ดีขึ้น หรือใช้ความเร็วสูง รอบจัดๆ เป็นเวลานานๆ อย่างเช่น วิ่งทางไกลบ่อยๆ เพื่อการหล่อลื่นและลดการสึกหรอได้ดีขึ้นพร้อมยืดอายุการถ่ายน้ำมันเครื่องได้นานกว่าทั้ง 2 ชนิดข้างต้น
4. น้ำมันเครื่องชนิดเกรดเดียว (Monograde)
เหมาะสำหรับรถจักรยานยนต์ทุกชนิด ที่เน้นประหยัด ใช้งานไม่หนักมาก แต่ระยะการเปลี่ยนถ่ายก็สั้นลงตามไปด้วย คุณภาพจะด้อยกว่าทั้ง 3 ชนิดข้างต้น แม้จะด้อยกว่า แต่ก็ช่วยลดการสึกหรอได้เช่นกัน ใช้ได้ดีกับรุ่นหรือรถที่ผ่านการใช้งานมานานๆ แล้ว
สำหรับระยะทางที่ควรเปลี่ยนแต่ละครั้งนั้น ดูตามที่ระบุเอาไว้ในคู่มือครับ ซึ่งโดยปกติจะอยู่ที่ ทุกๆ 2,000 – 3,000 กิโลเมตร หรือทุก 2-4 เดิอน แล้วแต่อย่างใดถึงก่อน รวมทั้งตามชนิดของน้ำมันด้วย ยิ่งชนิดสังเคราะห์แท้ อายุจะนานออกไปกว่าแบบอื่นประมาณ 2,000-3,000 กิโลเมตร (บวกลบ) ครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก checkraka