การขี่มอเตอร์ไซค์เพื่อเดินทาง เพื่อความบันเทิงเริงใจ หรือออกทริปใดๆ ก็มีเรื่องให้ชวนคิดและชั่งใจอยู่เสมอ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือไบค์เกอร์ผู้มากประสบการณ์ก็ตาม และนี่คือ 10 เรื่องง่ายๆ ที่เรารวบรวมไว้ให้อ่านกัน จริงๆ มันก็เหมือนไกด์ที่ช่วยให้เราผ่านไปได้ด้วยดีในแต่ละวัน มอเตอร์ไซค์ไม่หาย ไม่โดนชน ไม่ล้ม ไม่เกิดอุบัติเหตุ เท่านี้ก็ดีแล้วสำหรับไบค์เกอร์ และไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็น Big Bike ขอแค่เป็นมอเตอร์ไซด์สุดรักแรงน้อย แรงมาก ก็ควรรู้ไว้ครับ
10 เรื่องง่ายๆ ที่ไบค์เกอร์ต้องรู้
1. อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน
2. ล็อคดิสก์ หรือเสียดิสก์
3. ขี่ตามคนเก่ง
4. เบรกตอนเข้าโค้ง !
5. ถ้าได้ขี่ที่อากาศหนาวๆ
6. ให้คิดเสียว่าตอนขี่ คนขับรถคงไม่เห็นเรา
7. ถ้าวันนั้นมันห่วย ก็อย่าขี่เลย
8. ปล่อยวางให้กับพวกขับรถที่พยายามบล็อคทาง
9. อย่าจอดรอต่อท้ายรถ
10. ขี่ชิลๆ บ้างไรบ้าง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก checkraka
ยางรถมอเตอร์ไซค์หน้ากว้างกับหน้าแคบ แตกต่างกันอย่างไร
เกร็ดความรู้เกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซค์ในวันนี้ ไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของยางรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งในปัจจุบันนี้ รถมอเตอร์ไซค์ถือว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ยิ่งสำหรับคนที่ใช้งานในเมืองนั้น รถมอเตอร์ไซค์ถือว่าเป็นรถที่มีความคล่องตัวสูงในการใช้งานเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่สำคัญในการใช้งานอีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคญก็คือ เรื่องของยางรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งในวันนี้เราจะไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับยางหน้ากว้างและยางหน้าแคบ นั้นมีข้อแตกต่างกันอย่างไร
สำหรับเรื่องของยางหน้ากว้างและยางหน้าแคบนั้น มีผลต่อการใช้งานเป็นอย่างมาก ซึ่งยางทั้ง 2 รูปแบบนี้ มีการใช้งานที่แตกต่างกันดังนี้
ยางหน้าแคบ
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบในแต่งรถมอเตอร์ไซค์นั้น ส่วนใหญ่จะนิยมในการเปลี่ยนยางมาใช้ยางที่เป็นแบบหน้าแคบ เนื่องจากยางหน้าแคบจะมีน้ำหนักที่เบา และสามารถทำความเร็วเพิ่มขึ้นได้ แต่ข้อเสียของยางประเภทนี้ก็คือ จะหยึดเกาะถนนได้น้อย เพราะมีขนาดหน้ายางที่สัมผัสพื้นถนนน้อย ทำให้การยึดเกาะต่ำ และต้องระวังเป็นอย่างมากเวลาที่เจอพื้นถนนที่ลื่น และทางโค้ง
ยางหน้ากว้าง
ยางหน้ากว้างนั้น จะเหมาะกับการขับขี่ทั่วไป ซึ่งยางหน้ากว้างจะให้การยึดเกาะถนนได้ดีและยังให้ความนิ่มนวลในการขับขี่อีกด้วย และเวลาที่มีขับขี่แล้วเจอเศษก้อนกรวด ก้อนหิน เศษดิน และทราย ทำให้โอกาสลื่นไถลนั้นน้อยกว่า เวลาเจอยางที่เป็นหน้าแคบ ซึ่งทำให้มีความปลอดภัยที่สูงกว่ายางหน้าแคบ ที่แก้มยางบางๆ
เรื่องของการเลือกใช้ยางมอเตอร์ไซค์นั้น ตามจริงแล้ว ไม่ได้มีกฏตายตัวว่าจะต้องใช้แบบไหน แต่ก็อยากให้คำนึงถึงสภาพพื้นถนน และสภาพการจารจรเป็นหลักมากกว่า ซึ่งไม่ว่าจะเลือกใช้ยางแบบไหนสิ่งสำคัญในการขับขี่ ก็คือ ความระมัดระวังในการขับขี่เป็นหลัก ในการใช้รถใช้ถนน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก bigbike.boxzaracing
ผ้าเบรคมอเตอร์ไซค์จะมีอาการอย่างไร เมื่อใกล้หมดอายุ
ผ้าเบรคแบรนด์ Hawk Performance
ผ้าเบรคถือว่าเป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญของรถจักรยานยนต์เลยก็ว่าได้ ซึ่งเชื่อว่าชาวไบค์เกอร์ที่ใช้รถจักรยานยนต์อยู่บ่อยๆ หรือใช้มาค่อนข้างนานพอสมควร อาจจะเคยเจออาการและเสียงแปลกๆ เวลากดเบรค ไม่ว่าจะเป็นเบรคหน้าหรือเบรคหลัง ซึ่งเสียงดังจะดังแบบเอี๊ยดๆ คล้ายๆ กับเสียงเหล็กเสียดสีกัน หรือเวลาแตะเบรคทีไร จะรู้สึกเบรคไม่ค่อยหนึบเหมือนเดิม บางรายอาจเกิดกรณีเบรคไม่ค่อยจะอยู่ หรือเบรคแล้วรู้สึกว่าล้อสั่นๆ ใช้แล้วค่ะ…ถ้าเกิดอาการแบบนี้ ให้สันนิษฐานก่อนเลย ว่าผ้าเบรคของรถมอไซค์คู่ใจของคุณนั้น เริ่มสึกหรอ หรือใกล้หมดอายุการใช้งานแล้วค่ะ
ผ้าเบรคมอเตอร์ไซค์ที่ใกล้หมด
สำหรับผ้าเบรครถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์นั้น หลักๆ จะมีด้วยกัน 2 ส่วน คือ เนื้อผ้าเบรค กับแผ่นโลหะ ซึ่งเจ้าผ้าเบรคนี้แหละค่ะ ที่มีคุณสมบัติที่จะช่วยสร้างความฝืดในขณะที่ต้องการหยุด ส่วนแผ่นโหละจะรองเจ้าตัวผ้าเบรคอยู่อีกที ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดเสียงก็เป็นเพราะเนื้อผ้าเบรคบางลง จนทำให้เวลากดเบรคแล้ว ชิ้นส่วนโลหะไปสีกับจานเบรคจึงทำให้เกิดเสียงขึ้น
รูปแสดงผ้าเบรคเก่า และผ้าเบรคใหม่
ซึ่งเมื่อเกิดอาการดังกล่าว ห้ามปล่อยปละละเลยเป็นอันขาด ต้องรีบทำการเปลี่ยนโดยเร็วที่สุด โดยถ้าไม่รีบเปลี่ยน หรือยังทนใช้ผ้าเบรคส่วนบริเวณเนื้อผ้าเบรคเริ่มบางลงแล้วล่ะ ก็อาจจะเกิดอาการผ้าเบรคกินจาน คือ เจ้าแผ่นโลหะจะเสียดสีกับจานเบรค และหากปล่อยให้เสียดสีกันนานๆ หรือปล่อยทิ้งไว้ อาจจะทำให้จานเบรคบางลงเรื่อยๆ จนอาจจะแตกได้ในที่สุด
สำหรับวิธีการตรวจเช็คเบื้องต้นด้วยตัวเอง แนะนำให้เพื่อนๆ หมั่นสังเกตที่ตัวปั๊มบนเบรคว่าน้ำมันเบรคพร่องลงไปมากน้อยเพียงใด หรือลองดูที่คาลิเปอร์ว่าผ้าเบรคบางลงมากน้อยเพียงใด มีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ผิดปกติหรือไม่
ตัวอย่างแสดงความสมบูรณ์ของผ้าเบรค
ส่วนผ้าเบรคบางลงมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวผ้าเบรคไม่มีอายุของการใช้งานที่ชัดเจนเพราะส่วนใหญ่แล้ว ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบุคคล โดยหลักๆ ทุกๆ 6 เดือน หรือทุกๆ 4,000 กม. ก็ควรจะตรวจเช็คสภาพผ้าเบรค และควรเปลี่ยนหากพบสิ่งผิดปกติ หรือสึกหรอมากกว่าปกติ ซึ่งควรไล่เช็คระบบเพื่อการทำงานอย่างสมบูรณ์ เต็มประสิทธิภาพด้วย
รูปแสดงผ้าเบรค
ขอขอบคุณข้อมูลจาก motorcycle.boxzaracing
รถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก ไม่ควรใช้น้ำมันเครื่องทั่วไปจริงหรือ ??
ในยุคปัจจุบันรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก หรือ Scooter กำลังได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก ด้วยความสะดวกสบายในการขับขี่ และความคล่องตัวที่เหมาะกับการจราจรในประเทศไทย ซึ่งรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก ต้องการการดูแลรักษาที่แตกต่างจากรถมอเตอร์ไซค์ทั่วๆ ไป โดยปัจจัยหลักที่จะช่วยยืดอายุการใช้งาน และทำให้รถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติกนั้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นก็คือ น้ำมันเครื่อง ซึ่งหลายๆ ท่านมักจะมีความเชื่อ และความเข้าใจผิดที่ว่า น้ำมันเครื่องสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติกนั้น จะใช้แบบไหนก็เหมือนกัน วันนี้จะพาทุกท่านไปไขข้อข้องใจ ว่าทำไม…รถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติกถึงต้องเลือกใช้น้ำมันเครื่องสำหรับรถออโตเมติกโดยเฉพาะ
รถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก ควรใช้น้ำมันเครื่องสำหรับออโตเมติกโดยเฉพาะ
ความเชื่อที่ว่า…น้ำมันเครื่องสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ จะใช้แบบไหนก็เหมือนกัน เป็นความเชื่อที่ผิด แม้จะเป็นยานพาหนะประเภทเดียวกัน แต่รถมอเตอร์ไซค์แต่ละประเภท ต่างก็ต้องการการดูแลจากน้ำมันเครื่องที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก ที่มีเครื่องยนต์ขนาดเล็ก แต่ต้องทำงานที่ความเร็ว และรอบที่สูงตลอดเวลา จึงทำให้เกิดความร้อนสะสมสูงกว่าเครื่องยนต์ 4 จังหวะทั่วไป หากใช้น้ำมันเครื่องไม่เหมาะสม จะทำให้น้ำมันเครื่องเกิดยางเหนียว และเขม่าสะสม ซึ่งเป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้ท่อทางเดินของน้ำมันเครื่องอุดตัน จนทำให้เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น และเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
น้ำมันเครื่องสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติกโดยเฉพาะ ช่วยลดการเกิดเขม่า และช่วยลดความร้อนสะสมของเครื่องยนต์
พร้อมยืดอายุการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าน้ำมันเครื่องทั่วไป
และนี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไม รถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก ถึงควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่ผลิตมาเพื่อเครื่องยนต์ออโตเมติกโดยเฉพาะ หากเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่ถูกประเภทของรถ ก็จะสามารถปกป้องดูแลตัวรถได้อย่างถูกจุด และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันก็มีน้ำมันเครื่องสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติกโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากมาตรฐาน JASO MB ซึ่งจะระบุไว้ที่บรรจุภัณฑ์ หากใช้น้ำมันเครื่องได้ถูกประเภท ก็จะสามารถลดแรงเสียดทาน ให้อัตราเร่งดี เพราะเป็นน้ำมันที่มีค่าแรงเสียดทานต่ำ หรือ มีความลื่นสูง นอกจากนั้นยังมีสารพิเศษช่วยลดการเกิดเขม่า ซึ่งจะมีสารพิเศษช่วยลดการเกิดเขม่า และลดตะกอนโคลนในเครื่องยนต์ ฟิล์มน้ำมันยึดเกาะ และคงสภาพความหนืดได้ยาวนานกว่า ช่วยต้านทานการเกิดอ๊อกซิเดชั่น ลดการสูญเสียกำลังเครื่องยนต์ และคงทนต่อการเสื่อมสภาพได้ดี ช่วยยืดอายุการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสมรรถนะที่ดีกว่าของเครื่องยนต์
น้ำมันเฟืองท้าย ช่วยปกป้อง และลดการสึกหรอของชุดเกียร์ ยืดอายุการใช้งาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่
ยิ่งไปกว่านั้นเทคโนโลยีของมอเตอร์ไซค์ในปัจจุบันพัฒนามากขึ้น รอบจัดขึ้น ส่งผลให้ชุดเฟืองท้ายทำงานหนักขึ้น และมีการกระทบกันโดยตรงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อการปกป้องที่ดีกว่า และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ วิ่งดี…ไม่มีสะดุด ก็ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเฟืองท้าย คู่กับน้ำมันเครื่องด้วย เพื่อช่วยปกป้อง และลดการสึกหรอของชุดเกียร์ ยืดอายุการใช้งาน และลดเสียงหอนของเกียร์ได้อย่างเห็นผล เหมาะกับทุกสภาพการใช้งาน โดยเฉพาะรถที่วิ่งรอบจัด หรือใช้งานหนัก โดยหากเปลี่ยนคู่กับ น้ำมันเครื่องสำหรับรถออโตเมติกโดยเฉพาะ จะเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่างได้อย่างชัดเจน
ซึ่งหากใครที่กำลังมองหาน้ำมันเครื่องสำหรับรถออโตเมติกโดยเฉพาะ และน้ำมันเฟืองท้ายที่มีคุณภาพ ในตอนนี้ทาง Castrol มีแพ็คคู่สุดคุ้ม ที่มีทั้งน้ำมันเครื่องสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ AT พร้อมกับน้ำมันเฟืองท้ายในกล่องเดียว แถมยังมีให้เลือกตามความเหมาะสมของการใช้งานอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่รักความแรงที่ต้องการคงอัตราเร่งได้ดั่งใจ ก็มีชุดแพ็คคู่ทองสุดคุ้ม ส่วนผู้ที่รักการปกป้องเครื่องยนต์ตลอด 24 ชั่วโมง ก็มีชุดแพ็คคู่เงินสุดคุ้ม ที่มาพร้อมกับน้ำมันเฟืองท้ายที่มีสารเพิ่มคุณภาพประเภทที่สามารถรับแรงกดอัดได้มากขึ้นกว่าเดิม (Extreme Pressure, Ep), API GL-5 ที่ปกป้องได้มากขึ้น ทนต่อแรงตัดเฉือนและรับแรงกระแทกจากการส่งกำลังงานของชุดฟันเฟืองได้ดียิ่งขึ้น นี่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับคนรักรถในการดูแลปกป้องรถอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยขั้นตอนง่ายๆ ที่ซื้อภายในขั้นตอนเดียว พิเศษสำหรับคนรักรถนะครับ
เลือกใช้น้ำมันเครื่องที่ถูกประเภทเครื่องยนต์ เพื่อการปกป้องที่ดีกว่า และใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ
ละนี่เป็นเกร็ดความรู้ที่จะไขทุกข้อข้องใจ และแก้ไขความเชื่อผิดๆ ในการเลือกใช้น้ำมันเครื่องสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก เพื่อให้เหล่าไบค์เกอร์ทุกท่านได้นำกลับไปดูแลรักษารถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติกคันโปรด ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และช่วยยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานอย่างมีประสิทธิภาพ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก motorcycle.boxzaracing
ชนิดน้ำมันหล่อลื่นของจักรยานยนต์
จักรยานยนต์รุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันหันมาใช้เครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะมากขึ้น เนื่องจากสมรรถนะโดยรวมที่ดีกว่าแบบ 2 จังหวะ อีกทั้งยังประหยัดเชื้อเพลิง และปล่อยมลพิษน้อยกว่า บริษัทผู้ผลิตจักรยานยนต์จึงนิยมนำมาใช้ในอุตสาหกรรมจักรยานยนต์เชิงพาณิชย์มากขึ้นตามไปด้วย และสิ่งสำคัญ ที่เราควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการดูแลรักษาเครื่องยนต์ 4 จังหวะ อันดับแรกก็คือ “น้ำมันหล่อลื่น”
น้ำมันหล่อลื่นสำหรับจักรยานยนต์นั้นที่จริงแล้ว ใช้มาตรฐานเดียวหรือใกล้เคียงกับรถยนต์นั่นเอง แตกต่างกันที่เกรด และขนิดของพื้นฐานน้ำมันที่ใช้ผลิต เช่น SAE (Society Of Automotive Engineers) หรือสมาคมวิศวกรรมยานยนต์แห่งสหรัฐอเมริกา ได้วางมาตรฐานโดยแบ่งตามค่าความข้นใส SAE 5W-40 คือ มาตรฐานอเมริกา ที่อุณหภูมิต่ำประมาณ -25 องศา ความหนืดอยู่ที่ 5 (W/ บ่งบอกว่าฤดูหนาว) ส่วนเมื่ออุณหภูมิสูงๆ ไม่เกิน 100 องศา ค่าความหนืดอยู่ที่ 40
สำหรับน้ำมันหล่อลื่นจักรยานยนต์นั้นมีหลายชนิดให้เลือก ขึ้นอยู่กับประเภท แบบ หรือรุ่นของเครื่องยนต์รวมทั้งลักษณะการใช้งานในภูมิประเทศนั้นๆ เป็นหลักครับ
สำหรับน้ำมันหล่อลื่นจักรยานยนต์นั้นมีหลายชนิดให้เลือก ขึ้นอยู่กับประเภท แบบ หรือรุ่นของเครื่องยนต์รวมทั้งลักษณะการใช้งานในภูมิประเทศนั้นๆ เป็นหลักครับ
ชนิดของน้ำมัน
1.น้ำมันเครื่องเกรดมาตรฐานทั่วไป
เหมาะสำหรับรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะทั่วไปที่เน้นใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ใช้ความเร็วสูงต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ หรือใช้ความเร็วสูงๆ บางครั้ง และราคาค่อนข้างถูกกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ
2. น้ำมันเครื่องแบบกึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic)
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสมรรถนะเพิ่มมากขึ้น แต่ยังเน้นความประหยัดด้านราคา ซึ่งคุณภาพจะดีกว่าในชนิดธรรมดา และยืดอายุการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องได้มากกว่า
3.น้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์ หรือ (Fully Synthetic)
เหมาะสำหรับรถสมรรถนะสูง หรือผู้ต้องการความทนทาน และการปกป้องชิ้นส่วนที่ดีขึ้น หรือใช้ความเร็วสูง รอบจัดๆ เป็นเวลานานๆ อย่างเช่น วิ่งทางไกลบ่อยๆ เพื่อการหล่อลื่นและลดการสึกหรอได้ดีขึ้นพร้อมยืดอายุการถ่ายน้ำมันเครื่องได้นานกว่าทั้ง 2 ชนิดข้างต้น
4. น้ำมันเครื่องชนิดเกรดเดียว (Monograde)
เหมาะสำหรับรถจักรยานยนต์ทุกชนิด ที่เน้นประหยัด ใช้งานไม่หนักมาก แต่ระยะการเปลี่ยนถ่ายก็สั้นลงตามไปด้วย คุณภาพจะด้อยกว่าทั้ง 3 ชนิดข้างต้น แม้จะด้อยกว่า แต่ก็ช่วยลดการสึกหรอได้เช่นกัน ใช้ได้ดีกับรุ่นหรือรถที่ผ่านการใช้งานมานานๆ แล้ว
สำหรับระยะทางที่ควรเปลี่ยนแต่ละครั้งนั้น ดูตามที่ระบุเอาไว้ในคู่มือครับ ซึ่งโดยปกติจะอยู่ที่ ทุกๆ 2,000 – 3,000 กิโลเมตร หรือทุก 2-4 เดิอน แล้วแต่อย่างใดถึงก่อน รวมทั้งตามชนิดของน้ำมันด้วย ยิ่งชนิดสังเคราะห์แท้ อายุจะนานออกไปกว่าแบบอื่นประมาณ 2,000-3,000 กิโลเมตร (บวกลบ) ครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก checkraka
หลังออกทริป ต้องเช็คอะไรบ้าง
หลังออกทริป ต้องเช็คอะไรบ้าง? : การตรวจเช็คเบื้องต้น หลังเดินทางไกล
รถมอเตอร์ไซค์หลังจากออกทริปวันหยุดยาวจากเทศกาลต่างๆ ควรดูแลบำรุงรักษาให้มีสภาพพร้อมใช้งาน เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานให้ยาวนานมากขึ้น เพราะทุกๆ ครั้งที่ขับขี่ทางไกล ระบบเครื่องยนต์ ช่วงล่าง และระบบไฟฟ้าต่างก็ทำงานตลอดระยะเวลาที่เราเดินทาง ซึ่งบางครั้งก็อาจถึงระยะที่ควรตรวจเช็คหรือชิ้นส่วนบางอย่างก็ใกล้จะหมดอายุ นอกจากนี้อาจเกิดการเสื่อมสภาพของชิ้นส่วนเนื่องจากสภาพอากาศ สภาพถนนและลักษณะการขับขี่ เป็นต้น
.
สภาพดอกยาง
ร่องดอกยางไม่ควรต่ำกว่า 3 มม. เนื้อของยางต้องนิ่มใช้เล็บจิกดูเป็นรอยและคืนรูปได้ สภาพแก้มยางและหน้ายางไม่แตกลายงา
สภาพยางต้องพร้อมใช้งาน
ระดับน้ำมันเครื่อง
พร่องลงต่ำกว่าระดับปกติหรือไม่ หากลดลงต่ำกว่าระดับปกติ 1 ใน 3 ส่วน ให้สังเกตรอยรั่วซึมรอบๆ เครื่องยนต์ และคราบน้ำมันที่อาจหยดลงพื้น
ระดับน้ำมันเครื่องพร้อม
กับสังเกตคราบรั่วซึมรอบๆ เครื่องยนต์
ระดับน้ำหม้อน้ำ (ถ้ามี)
ระดับน้ำในถังพักควรอยู่ระดับปกติ หากลดลงเกินกว่า 1 ใน 3 ส่วน ให้สังเกตรอยรั่วซึมและคราบหยดลงพื้น
ระบบพัดลมระบายความร้อน (ถ้ามี)
รถที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำให้ตรวจเช็คการทำงานของพัดลมไฟฟ้าว่าหมุนแรงหรือมีเสียงดังผิดปกติหรือไม่
น้ำระบายความร้อนปกติหรือไม่
(สำหรับรุ่นมีหม้อน้ำ)
รถที่ใช้ดรัมเบรก
ให้ลองเช็คระยะฟรีของสายเบรกและตั้งให้เหมาะสม หากเป็นไปได้อาจให้ช่างถอดมาตรวจเช็คสภาพผ้าเบรก และทำความสะอาด
ระดับความหนาของผ้าเบรกหน้า-หลัง
สังเกตความหนาของเนื้อผ้าเบรกไม่ควรน้อยกว่า 3 มม. หรือสังเกตว่าเบรกเริ่มแข็งและไม่ค่อยอยู่ อาจเกิดจากการเสื่อมของเนื้อผ้าเบรก แม้จะมีความหนาอยู่ก็ตาม
สภาพจานเบรกมีรอยหรือไม่
และผ้าเบรกบางเกิน 3 มม.หรือไม่
ระบบไฟฟ้า
ตรวจจุดที่สำคัญได้แก่ ไฟหน้า, ไฟท้าย, ไฟเลี้ยว, ไฟหน้าปัด – ใช้งานได้ปกติหรือไม่
ไฟหน้าติดครบ
ไฟท้ายและไฟเลี้ยว
ความตึงหรือหย่อนของโซ่
มีเสียงดังขณะวิ่งและหย่อนเกินไปหรือไม่ รวมถึงสภาพของข้อต่อโซ่ปกติหรือไม่ รวมทั้งเพิ่มสารหล่อลื่นและกันสนิมด้วย
ความหนึบแน่นของโช้กอัพหน้า-หลัง
ให้สังเกตอาการของโช้ก เมื่อขับขี่ว่ามีอาการนิ่มผิดปกติหรือ หรือเมื่อตกหลุมมีเสียงดังและมีคราบน้ำมันรั่วซึมหรือไม่
มาตรวัดใช้งานได้ปกติหรือไม่
เมื่อสังเกตว่ามีสิ่งใดผิดปกติ เราก็สามารถบอกช่างที่ศูนย์บริการได้ว่า รถเรามีสิ่งใดต้องซ่อมบำรุงหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนบ้าง และยังช่วยให้รู้ถึงสภาพรถที่แท้จริง พร้อมตัดสินใจเปลี่ยนอะไหล่ได้ทันที
โดยทั่วไปนั้นการตรวจเช็คสภาพรถมักจะตรวจดูก่อนการล้างคราบสกปรกต่างๆ เพราะอาจเป็นคราบที่เกิดจากการใช้งานหรือคราบการรั่วซึมของของเหลว ซึ่งหากล้างสะอาดเกินไปอาจทำให้เรามองไม่เห็นจุดที่เกิดการรั่วซึม หรือเสียหายได้อย่างชัดเจนนัก และเมื่อตรวจเช็คแล้วจึงนำรถไปล้างได้ครับ
การตรวจเช็ครถหลังการใช้งานนั้น นอกจากจะเป็นการดูแลรักษารถให้อยู่ในสภาพดีแล้ว ยังเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานอีกด้วย และเมื่อออกทริปครั้งต่อไป
“ใส่หมวก เปิดไฟ มีน้ำใจ ไม่ประมาท” นะครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก checkraka
ของ 10 อย่างที่ไบค์เกอร์ควรพกติดตัวเมื่อยามออกทริป
ชาวไบค์เกอร์ทั้งหลายที่ชื่นชอบการออกทริป ไม่ว่าจะด้วยการไปกันเป็นหมู่คณะ หรือไปแบบคนน้อยๆ ชิลๆ ก็ตาม เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วใช่มั้ยครับว่าการเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทางถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ในอันดับที่หนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อในยามที่เราออกเดินทางไปแล้วหากว่าเกิดปัญหาขึ้นระหว่างทาง แล้วผู้ขับขี่ไม่มีอุปกรณ์ที่จำเป็นเพียงพอที่จะนำมาแก้ไขสถาการณ์ ก็จะทำให้การแก้ปัญหานั้นเป็นไปด้วยความยากลำบากมากยิ่งขึ้น และวันนี้เราจะมานำเสนอเกร็ดความรู้ที่จำเป็นสำหรับสาวก Bigbike (บิ๊กไบค์) และชาว 2 ล้อทั้งหลาย ด้วยของ 10 อย่าง ที่จะเอาไว้ใช้ในยามเกิดเหตุคับขันหรือยามจำเป็น ว่าแต่จะมีอะไรบ้าง เรามาดูกันดีกว่าครับ
ชุดเครื่องมือ
ชุดเครื่องมือเบื้องต้นทั้งหลาย
ในที่นี้หมายถึง ชุดเครื่องมือฉบับย่อทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นชุดมีดพับ ทีมีทั้ง มีด ไขควง กรรไกร คีม หรืออาจจะเป็นซองใส่เล็กๆ ที่เราได้มาจากการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หรือการเติมน้ำมัน ฯลฯ เพื่อที่เราจะได้เอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินต่างๆ เช่น ป้ายทะเบียนหลุดร่วง, เปลี่ยนหลอดไฟ หรืออื่นๆ อีกมากมาย และที่สำคัญ ควรจะหาประแจเบอร์ 10, 12 ไว้ติดตัวหรือรถเสมอ เพราะน็อตบางตัว ต้องใช้ประแจเบอร์ดังกล่าวไขเท่านั้น
ไฟฉายพกพา
ไฟฉายและถ่าน
อุปกรณ์สุดคลาสสิคอีกหนึ่งอย่างที่หลายๆ คนมักจะหลงลืมกันอยู่เสมอๆ นั่นก็คือ ไฟฉาย ซึ่งในที่นี้เราจะเอาไว้ใช้ในยามที่เกิดเหตุในสถานที่มืด เอาไว้ใช้สำหรับการโบกรถบนท้องถนน ให้ระมัดระวังไม่เข้ามาชนรถของเราที่จอดอยู่ข้างทางได้ และยังสามารถใช้ส่องชิ้นส่วนดูอะไหล่ต่างๆ ได้อีกเยอะแยะ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์อเนกประสงค์เลยทีเดียว และที่สำคัญ อย่าลืมถ่านสำรองกันด้วยนะครับ
หลอดไฟสำรอง Bigbike
หลอดไฟสำรอง
ให้ติดหลอดไฟสำรองไว้ในส่วนที่จำเป็น เช่น ไฟเลี้ยว, ไฟท้าย, ไฟหน้า เป็นต้น ซึ่งเราจะสามารถใช้ได้ทันทีหากไฟดังกล่าวขาด โดยจะสามารถเพิ่มความปลอดภัยได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียวหากเราออกทริปหรือขับรถในยามค่ำคืน และที่สำคัญหากไฟหลักเกิดเสียแล้วจะสามารถเปิดไฟสูงได้เท่านั้น ซึ่งจะทำให้รถคันที่สวนมามีทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ลดลง และอาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุได้
สเปรย์กันรั่ว
รถจักรยานยนต์หรือ Bigbike (บิ๊กไบค์) ส่วนใหญ่นั้นไม่มียางอะไหล่กันอยู่แล้ว การใช้สเปรย์กันรั่วจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะรักษาประสิทธิภาพของยางให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ซึ่งจะดีกว่าการไปหาร้านเปลี่ยนยางเอาดาบหน้า เพราะเรายังไม่รู้ว่าอีกไกลแค่ไหนจนกว่าจะถึงร้านซ่อม เพราะฉะนั้นยอมซื้อในราคาที่ค่อนข้างสูงหน่อย แลกกับความสบายใจจะดีกว่านะครับ
สเปรย์กันรั่ว
ตัวล็อคกันขโมย
อุปกรณ์กันขโมย
คงไม่สนุกแน่หากว่าเรากำลังแวะปั๊มไปยิงกระต่าย และเมื่อกลับมาเราก็หารถคู่ใจไม่เจอเสียแล้ว เพราะอย่างนี้เราจึงควรติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันการโจรกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์คลาสสิคอย่าง โซ่เอามาล็อคล้อ หรือเดี๋ยวนี้ก็มีหลากหลายแบบให้ได้เลือกสรรกัน เช่นระบบสั่งงานด้วยรีโมท และยังมีแบบระบบติดตามรถด้วยสัญญาณดาวเทียม ส่งตรงเข้าสู่สมาร์ทโฟนของคุณกันเลยทีเดียว ยอมจ่ายแพงหน่อยเพื่อป้องกันรถสุดรัก ดีกว่ามาแก้ปัญหาเอาเมื่อสายไปนะครับ
แกนลอนน้ำมัน
แน่นอนว่าเมื่อรถของเราน้ำมันหมดนั้น สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เราไม่ต้องยุ่งยากเลยนั่นก็คือ การใช้แกนลอนน้ำมันให้รถคันอื่นขับไปเติมใส่ แล้วค่อยเอามาใส่รถอีกหนึ่งต่อ ซึ่งจะลดความยุ่งยากของขั้นตอนต่างๆ ไปได้มากเลยทีเดียว
แกนลอนน้ำมันหลากหลายขนาด
เสื้อกันฝน
คงหมดสนุกอีกเช่นกันหากเรากำลังขับออกทริปกันอย่างสนุกสนาน แต่ทันใดนั้นก็มีฝนตกลงมา ซึ่งจะทำให้เราเปียกโชกไปหมด ดังนั้นเสื้อกันฝนจึงเป็นอะไรที่สามารถป้องกันความเปียกที่ว่านี้ได้ ไม่มากก็น้อย
เสื้อกันฝน
ขวดน้ำ
การพกขวดที่บรรจุน้ำไว้ ก็เพื่อใช้เติมน้ำในหม้อน้ำ (สำหรับรถที่ระบายความร้อนด้วยน้ำ) เนื่องจากการขับรถในระยะทางยาวๆ ใช้เวลาติดต่อกันนาน จะทำให้รถ 2 ล้อคู่ใจของเรามีอุณหภูมิสูงกว่าปกติเล็กน้อย หรือบางคันก็จะส่งผลให้เกิดการระบายความร้อนได้ไม่สมบูรณ์เหมือนปกติ ซึ่งจะทำให้น้ำในระบบลดต่ำลงกว่าระดับที่กำหนดไว้ โดยเราสามารถเติมน้ำลงเข้าไปเสริมให้ระบบกลับมาเป็นปกติได้ทันที และยังใช้ล้างมือล้างหน้าได้อีกด้วย ส่วนขนาดที่สมควรจะพกติดตัวไว้นั้นก้คือปริมาณ 500 มล.
ขวดน้ำ
Power Bank
(พาวเวอร์ แบงค์)
หลายๆ คนคงคิดว่าเจ้านี่มันไปเกี่ยวอะไรด้วย อันที่จริงแล้วก็ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นพอสมควรเลยนะครับ เพราะในที่นี้เรากำลังพูดถึงเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น แต่โทรศัพท์ของเราดันแบตเตอรี่หมดซะงั้น เพราะอย่างนี้เราจึงควรพกพาวเวอร์แบงค์นี้ติดตัวเอาไว้ใช้ในยามจำเป็นนั่นเองครับ
พาวเวอร์แบงค์
กล้องติดรถ หรือติดหมวก
กล้องถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีความจำเป็นสำหรับยุคนี้เลยก็ว่าได้ เพราะเราสามารถนำกลับมาดูเหตุการณ์ย้อนหลังที่เกิดขึ้นได้ หากเกิดเหตุไม่คาดคิด และที่สำคัญเราจะได้นำมาใช้เป็นพยานปากเอกในเหตุการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
กล้องติดหมวกกันน็อค
การเตรียมพร้อมก่อนออกทริปสำคัญมาก
นี่ก็เป็นอุปกรณ์ที่ถือว่ามีความจำเป็นอยู่พอสมควรเลยทีเดียวนะครับ ซึ่งเราจะเอาไว้ใช้ในยามที่เกิดเหตุฉุกเฉิน หรือเมื่อยามที่เราขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ หรือ Bigbike (บิ๊กไบค์) คู่ใจออกทริป หรือเดินทางไกล แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนการขับรถออกไปไหนก็ตามนั่นก็คือ การตรวจสอบความพร้อมของรถเรานะครับ เพื่อที่จะได้ป้องกันไม้ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก bigbike.boxzaracing
9 ทริคการขับขี่มอเตอร์ไซค์ที่คุณอาจไม่รู้มาก่อน
การขับซอกแซกตอนที่รถติดและต้องใช้ความเร็วต่ำ คือสิ่งที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งของการขับขี่มอเตอร์ไซค์ โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์ที่มีน้ำหนักมาก มีแฮนบาร์ที่กว้าง ต้องคอยดูคอยหลบกระจกรถยนต์ทั้งสองข้าง ยิ่งถ้าเหลือช่องแคบๆนี่แทบหมดอนาคต ต้องหยุดรอไปพร้อมรถยนต์เลย ไหนจะเรื่องตาและมือต้องทำงานประสานกันได้อย่างดีช่วงชิงจังหวะได้อย่างทันท่วงที ต้องใช้สมาธิ และการทรงตัวที่ยอดเยี่ยม
สำหรับทริคนี้จะช่วยให้คุณทรงตัวได้ดีขึ้น โดยให้เบรคหลัง มันจะช่วยให้คุณเร่งความเร็วขึ้นได้อย่างนุ่มนวล และพร้อมที่จะเบรคเพื่อหยุดรถได้ในทันทีหากจำเป็น วิธีการก็คือ กำคลัตช์แล้วปล่อยให้รถไหลไปตามแรง ใช้ปลายเท้าแตะเบรคเบาๆให้เกิดแรงหน่วงพอประมาณ อย่ากระแทกเบรคหรือเหยียบเบรคแรงๆ
การใช้เบรคหน้าอย่างกระทันหันในขณะเร่งความเร็วหรือกำลังออกตัวจะทำให้เกิดอาการกระตุก หรือกระแทกเบรค บางครั้งคุณอาจรู้สึกว่ามันช่วยให้ทรงตัวซ้ายขวาได้ดีในตอนที่ต้องเร่งและชะลอความเร็ว แต่มันจะขาดความสมดุลหน้าหลัง โดยน้ำหนักจะกดลงไปข้างหน้าแล้วเด้งกลับมาข้างหน้าทำให้ขาดความนุ่มนวล แต่มันจะช่วยไม่ให้โยกเยกหรือเอียงซ้ายทีขวาทีในตอนที่ต้องซอกแซกโดยใช้ความเร็วที่ต่ำมาก
เราขอแนะนำ 9 ทริคการขับขี่มอเตอร์ไซค์ที่คุณอาจไม่รู้มาก่อน
บิดคันเร่งช่วยให้ลดเกียร์ลงได้อย่างนุ่มนวล
การลดเกียร์ลงและปล่อยคลัตช์อย่างรวดเร็วจะทำให้การทำงานของเครื่องยนต์สะดุดลงชั่วคราวเป็นการลดความเร็วที่ล้อหลัง แต่ข้อจำกัดก็คือ หากคุณต้องเลี้ยวหักมุม หรือเข้าโค้ง คุณจำเป็นต้องลดความเร็วให้ต่ำพอแล้วถึงจะเลี้ยวได้
สำหรับทริคนี้เคล็ดลับจะอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างรอบเครื่องยนต์กับระดับเกียร์ เร่งเครื่องให้เหมาะสมกับความเร็วจะทำให้เครื่องยนต์ไม่สะดุดหรือชะลอตัวอย่างกระทันหัน
บางครั้งมันพูดง่ายแต่ทำยาก มันขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา และความรู้สึก วิธีการก็คือ หลังจากคุณกำคลัตช์และลดเกียร์ลง ให้คุณใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางมือขวากำเบรค แล้วใช้นิ้้วอื่นๆ บิดคันเร่ง การใช้เกียร์ต่ำจะเป็นการชะลอเครื่องยนต์ไปในตัวอยู่แล้ว สิ่งที่คุณต้องทำก็คือปล่อยคลัตช์ให้ได้จังหวะเหมาะสมกับเกียร์ และกำเบรคให้ได้จังหวะกับการบิดคันเร่ง อย่าลืมทำความคุ้นเคยกับแรงบิดและกำลังของเครื่องยนต์ เพราะทั้งสองสิ่งนี้จะต้องสัมพันธ์กัน แล้วคุณจะขับขี่ได้อย่างนุ่มนวล คล่องตัว
ใช้เบรคเพื่อความเร็วและการเข้าโค้งอย่างปลอดภัย
ไม่ได้หมายความว่าให้คุณเข้าโค้งโดยใช้ความเร็วสูงๆ แล้วไปเบรคหัวทิ่มเอาในโค้ง แต่ให้คุณใช้ความเร็วที่เหมาะสม ประกอบกับการกำเบรคเบาๆเป็นระยะเพื่อประคองไม่ให้หลุดโค้ง การใช้เบรคหน้าจะทำให้เกิดแรงกดลงไปที่โช้คและยางหน้าและน้ำหนักถูกถ่ายโอนไปยังล้อหน้า เกิดการปัดท้ายส่ายองศาออกไปทางขอบโค้งด้านนอก ช่วยในเรื่องการคุมทิศทาง และไม่สูญเสียความเร็วมาก และเมื่อถึงจุดAPEX(จุดที่โค้งที่สุดนับจากจุดเข้าโค้งไปจนถึงจุดที่ออกจากโค้ง)ให้คุณเร่งเครื่องต่อไป
แต่อย่างไรก็ตามคุณต้องใช้ทริคนี้อย่างระมัดระวัง ทั้งเรื่องความดัน และการยึดเกาะของยาง การยุบตัวของโช็ค และความเร็วที่เหมาะสม แนะนำให้ฝึกทริคน้ในสนามฝึกซ้อม หรือในที่ ที่ปลอดภัยได้มาตรฐานไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่มีรถคันอื่นอยู่ใกล้ๆ ไม่มีสิ่งกีดขวาง มีทัศนวิสัยที่ดี เพราะหากผิดพลาดนั่นอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
จะรู้ได้ไงว่าโค้งนี้มันกว้างหรือแคบ
ในโค้งที่มีอะไรมาบดบังทัศนวิสัย ไม่มีป้ายบอกว่าเป็นโค้งแบบไหน ให้คุณมองไปที่สุดปลายโค้ง หากระยะห่างจากที่สุดปลายโค้งจุดที่คุณอยู่คงที่ โค้งนี้จะเป็นโค้งที่รัศมีคงที่ หากมองไปแล้วที่สุดปลายโค้งมันหุบเข้ามายังหาคุณ โค้งนี้จะเป็นโค้งที่แคบ แต่ถ้ามองดูแล้วมันขยายออกไปมันจะเป็นโค้งที่กว้าง และคุณสามารถเร่งความเร็วได้
ขึ้นเกียร์โดยไม่กำคลัตช์
หมายเหตุไว้ก่อนเลยว่าให้ใช้เฉพาะการขึ้นเกียร์เท่านั้น ไม่ควรใช้ในขณะความเร็วคงที่ หรือกำลังชะลอความเร็ว ทริคนี้เป็นเรื่องของการขับขี่ให้นุ่มนวล เปลี่ยนเกียร์ได้เร็วขึ้น แต่จะทำให้มีผลต่อระบบคลัตช์เล็กน้อย
วิธีการก็คือให้คุณเร่งความเร็วขึ้นมาพอใกล้ถึงจุดที่ต้องการขึ้นเกียร์ ให้คุณผ่อนคันเร่งลงเล็กน้อย แล้วใช้ปลายเท้างัดคันเกียร์ขึ้นทันที พอรู้สึกว่าเกียร์เข้าที่แล้วค่อยเร่งเครื่อง
เมื่อคุณคล่องแล้ว ทริคนี้จะช่วยให้คุณใช้เวลาขึ้นเกียร์น้อยลง สูญเสียความเร็วน้อยลง แต่คุณก็ต้องใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับระดับความเร็วของคุณด้วย นอกจากนี้การขึ้นเกียร์จากเกียร์ 1 เป็นเกียร์ 2 แนะนำให้กำคลัตช์เพื่อมีความสม่ำเสมอในการออกต้ว
หักซ้ายเพื่อเลี้ยวขวา
เป็นการกระตุกแฮนด์นิดหน่อยไปยังด้านตรงข้ามกับที่ต้องการจะเลี้ยว เพื่อให้รถเอียงไปยังทิศทางที่ต้องการเล็กน้อย แล้วค่อยคืนไปยังทิศทางที่ต้องการ สมมติว่าคุณนั่งคล่อมอยู่บนรถของคุณ แล้วหันแฮนด์ไปทางซ้าย คุณคิดว่ามันจะล้มไปทางไหน แน่นอนมันจะเอียง หรือล้มไปทางขวา ในตอนนั้นล้อหน้าจะเป็นจุดที่ใช้ควบคุมทิศทาง
หากคุณต้องการที่จะนำทริคนี้มาใช้บนท้องถนน คุณจะต้องแน่ใจได้ว่าจะไม่มีสุมทุมพุ้มไม้มาบดบัง ไม่มีรถคันอื่น หรือสิ่งใดๆมากีดขวาง และคุณต้องฝึกฝนเรื่องการควบคุมรถและความเร็วมาอย่างดีพอ
ทริคนี้ การฝึกฝนเป็นเรื่องสำคัญ ลองหาลานโล่งๆ แล้วฝึกฝนโดยใช้ความเร็วประมาณ 40 ก.ม. ต่อ ช.ม. หันแฮนด์ไปทางซ้ายเล็กน้อย พอรถเริ่มเอียงขวา และไหลไปตามทิศทางที่ต้องการแล้ว ให้คุณคืนแฮนด์ไปทางขวา จนแฮนด์กลับมาตั้งตรงกับตัวรถ
มองไปยังที่ ที่คุณจะไป
สิ่งที่ต้องเจออยู่ทุกวันบนท้องถนนก็คือ โดนรถคันอื่นเบียด ปาด แซง ต้องเลี้ยวต้องหลบในที่แคบๆ หรือบางครั้งก็เจอถนนพังเป็นหลุมเป็นบ่อ หรือมีสิ่งกีดขวาง ให้คุณมองไปยังช่องหรือทางที่คุณจะไป อย่ามองที่ขอบฟ้า อย่ามองที่รถคันอื่นหรือสิ่งกีดขวางต่างๆ เพราะเราจะกำหนดทิศทางได้โดยใช้สายตามองไป แล้วบังคับมอเตอร์ไซค์ให้ตามไป แต่คุณต้องมีสติตลอดเวลาและบังคับตัวเองให้ได้
ปกป้องความเป็นชายด้วยเข่าของคุณเอง
หมายถึงลูกป๋องแป๋งของคุณนั่นแหละ ปกติเวลาขี่มอเตอร์ไซค์เราสามารถถ่ายน้ำหนักลงไปที่มือทั้งสองข้างได้อยู่แล้ว แต่ในตอนที่ต้องเบรคกะทันหัน น้ำหนักที่ไหลมาอาจพาลูกป๋องแป๋งของคุณไปอัดเข้ากับถังน้ำมัน ซึ่งอาจกระทบกระเทือนความเป็นชายของคุณ ทางแก้ก็คือใช้เข่าของคุณหนีบที่ถังน้ำมัน การติดยางกันลื่นกันลอยข้างถังจะช่วยให้การหนีบกระชับยิ่งขึ้น
ใช้เบรคให้ถูกต้อง
การใช้เบรคหน้าเป็นการหยุดรถที่มีประสิทธิภาพสูง มีระยะเบรคที่สั้น แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถและประสบการณ์ของผู้ขับขี่ด้วย
1 ใช้แค่นิ้วชี้และนิ้วกลางกำเบรค ส่วนที่เหลือกำรอบคันเร่ง
2 ในช่วงที่คุณอาจต้องใช้เบรคอย่างกะทันหัน เช่นการซอกแซกให้ช่วงรถติด หรือการจราจรชลอตัว ให้คุณวางนิ้วทั้งสองไว้ที่ก้านเบรค มันจะช่วยให้การตอบสนองรวดเร็ว และนุ่มนวล
3 ใช้ยางที่หนึบ ยึดเกาะกับพื้นถนนได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อให้คุณได้ใช้เบรคอย่างมีประสิทธิภาพ ทุกครั้งที่คุณต้องใช้เบรค ให้คุณค่อยๆดึงก้านเบรคเข้ามา ควบคุมทิศทางและถ่ายน้ำหนักให้ยางหน้ากดลงที่พื้น เพียงครั้งเดียวก็สามารถเปลี่ยนทิศทางได้แล้ว อย่าลืมคำนึงถึงเรื่องน้ำหนักรถด้วยละ
4 กำเบรคแรงขึ้นเรื่อยๆจนกว่าความเร็วลดลงมาอยู่ในระดับที่ต้องการ เมื่อล้อหลังส่าย หรือคุณรู้สึกว่าล้อหน้าเริ่มไถล ให้คุณรักษาน้ำหนักการกดเบรคไว้า หรือปล่อยเบรคจนได้ระดับที่คุณควบคุมได้
ความนุ่มนวลและต่อเนื่องเป็นปัจจัยสำคัญ การคุณกำเบรกสุดแรงมันอาจจะทำให้คุณล้มหัวทิ่มได้
มันอยู่ที่คุณ…
ท่อที่ดังกระหึ่ม โครเมี่ยมสีฉูดฉาด ยางลวดลายสวยงาม หรือสีเพ้นท์ต่างๆ ไม่ได้ทำให้คุณขับได้เร็วขึ้น คล่องแคล่วขึ้น หรือปลอดภัยขึ้น แต่การฝึกฝนจะช่วยคุณเอง คุณควรทุ่มเทเงินทอง และเวลาไปกับการพัฒนาเทคนิค ศึกษาทริคหรือคำแนะนำต่างๆในการขับขี่ เมื่อเกิดเป็นทักษะส่วนตัว และได้ฝึกฝนจนช่ำชองแล้ว คุณค่อยหาของเท่ๆมาแต่งรถมอเตอร์ไซค์สุดที่รักของคุณ
สิ่งสำคัญในการขับขี่มอเตอร์ไซค์ ก็คือความปลอดภัย ทั้งของคุณเองและของผู้ที่ใช้ถนนร่วมกัน เราต้องเคารพสิทธิของผู้อื่นเช่นกัน ควรมีมารยาทในการขับขี่ ไม่ลักไก่ ไม่ปาดหน้ากระชั้นชิดหรือขับขึ้นบนทางเท้า เพื่อลดอุบัติเหตุ และช่วยให้เราทุกคนใช้ถนนร่วมกันได้อย่างมีความสุข
ขอขอบคุณข้อมูลจาก auto.sanook
ความต่างของ 2 รถสายพันธุ์สปอร์ต CBR และ CB
อย่างที่ทุกคนรู้ว่ารถมอเตอร์ไซค์ BigBike นั้น มีหลายประเภท หลายสไตล์ ซึ่งตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลายประเภท ตามที่ผู้ใช้งานต้องการ ตัวรถเองก็ย่อมมีชื่อเรียกประจำซีรีส์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งทางฮอนด้าเองได้มีการตั้งชื่อรถไว้ตามหมวดหมู่ตามสไตล์ของตัวรถไว้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งชื่อรุ่นรถก็อาจจะมีความคล้ายคลึงกันในบางส่วน และทำให้เกิดความสับสนอยู่บ้าง วันนี้เราจึงขอนำรถมอเตอร์ไซค์ BigBike 2 ซีรีส์ที่มักจะสร้างความเข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้ง มาคลายข้อสงสัยให้ฟัง ซึ่งประกอบไปด้วย CBR และ CB ซีรีส์นั่นเอง โดยมี BigBike คันใหญ่สุดเท่อย่าง CBR1000RR และ CB1000R มาเป็นตัวอย่างในการหาคำตอบเรื่องนี้กันครับ
ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่หลายคนอาจสับสนกับซีรีส์ของรถที่มีชื่อรุ่นนำหน้าว่า CBR และ CB เพราะรถ BigBike ทั้ง 2 ซีรีส์ นอกจากชื่อนำหน้าเท่านั้นที่ดูคล้ายคลึงกัน ตัวเลขพิกัดเครื่องยนต์ก็เหมือนกันหลายรุ่นอีกด้วยครับ เพราะฉะนั้นเพื่อคลายความสงสัยว่า ทั้งสองซีรีส์นี้มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง มาฟังคำอธิบายจากเราได้เลย
รถในตระกูล CBR ซีรีส์นั้นเป็นรถที่ถูกถอดแบบมาจาก “รถแข่ง” ในสนามแข่งโดยตรง หรือที่เรานิยมเรียกกันว่า “รถสไตล์สปอร์ต” ซึ่งหน้าตาโดยปกติของรถประเภทนี้จะมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นรถประเภทฟูลแฟริ่ง มีเฟรมติดตั้งอยู่ทั่วทั้งคัน และออกแบบให้มีความโฉบเฉี่ยวมากที่สุด ตามหลักอากาศพลศาสตร์ (Aerodynamics) ส่งผลให้สามารถทำความเร็วได้สูง หรือพูดได้ว่าถอดเทคโนโลยีความล้ำสมัยจากรถที่ใช้แข่ง มาสู่รถมอเตอร์ไซค์ที่คุณสามารถเป็นเจ้าของเองได้ ก็ไม่น่าจะผิดนัก ทำให้รถประเภทนี้เหมาะสมในการใช้งานที่ต้องอาศัยสมรรถนะที่สูง เช่น การเดินทางระยะไกล หรือการลงไปขับขี่ในสนามแข่งโดยตรง
ส่วนรถในตระกูล CB นั้น อย่างที่ได้กล่าวมาในข้างต้นว่ามีความคล้ายคลึงกันกับตระกูล CBR อยู่พอสมควร แต่ข้อสังเกตของรถสไตล์นี้ก็คือจะถูกปรับปรุงเพื่อการใช้งานที่หลากหลายมากกว่าเดิม มีการถอดแฟริ่งด้านล่างบางส่วนออกเพื่อระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์ รวมถึงเปลี่ยนตำแหน่งแฮนเดิลบาร์เพื่อให้สามารถควบคุมได้สบายขึ้นในการขับขี่ในเมือง โดยในบางครั้งรถตระกูล CB จะถูกเรียกว่ารถแนว Naked เหมือนกับที่เราเคยเล่าถึงใน Naked BigBike รถสปอร์ตเปลือยแฟริ่ง ความเท่ที่แตกต่าง นั่นเองครับ
โดยทั้ง 2 รุ่นอย่าง CBR1000RR และ CB1000R เบื้องต้นนั้นมีความคล้ายกันที่เครื่องยนต์ เนื่องจากทั้งคู่ต่างใช้เครื่องยนต์ที่มีพิกัด 1000 cc เหมือนกัน รวมถึงมีขนาดมิติของตัวรถที่ใกล้เคียงกันอีกด้วย แต่ความแตกต่างอย่างชัดเจนนั้นเหมือนที่เราได้กล่าวไว้ข้างต้นเลยครับ นั่นคือตัว CBR1000RR จะมีรูปลักษณ์ที่มีความสปอร์ต ดูปราดเปรียว โฉบเฉี่ยว รวมถึงมีน้ำหนักที่เบากว่า เหมาะกับการใช้งานที่ต้องรีดประสิทธิภาพออกมาให้มากที่สุดเป็นอย่างยิ่ง ส่วน CB1000R นั้น จะมาในมาดหล่อแบบแนวคิดใหม่อย่าง NEO SPORTS CAFÉ ที่เน้นในเรื่องสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร และตอบโจทย์ในด้านการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งขับขี่ในเมือง ไปจนถึงพาออกทริประยะทางไกลครับ
และแน่นอนว่า ไม่มีรถประเภทไหนที่สามารถตัดสินได้ว่า “ดีกว่า” รถอีกแบบหนึ่ง เพราะมอเตอร์ไซค์ BigBike ทุกคัน มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ที่สำคัญเมื่อผู้อ่านได้อ่านบทความนี้แล้ว คงจะสามารถแยกรถทั้งสองตระกูลอย่าง CBR และ CB ออกจากกันได้แล้วนะครับ ซึ่งไม่ยากอย่างที่คิด หรือจำง่าย ๆ ว่า รักในสไตล์สปอร์ต และต้องการประสิทธิภาพแบบเต็มขั้น ก็ต้องเป็น CBR หรือถ้าอยากหล่อ โชว์การขับขี่ในเมือง และมีขุมพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าใคร ก็คงหนีไม่พ้นตระกูล CB ซึ่งทั้ง 2 ตัวเลือกก็ต่างเป็นตัวเลือกที่สูสีกันเป็นอย่างมาก แต่เชื่อว่าทุกคนคงมีคำตอบในใจกันอยู่แล้วนะครับ ว่าใครรักในสไตล์แบบไหน หรือถ้ายังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้จริง ๆ Honda BigWing ก็จะเป็นที่ที่เราสามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้อย่างแน่นอน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก aphonda
เครื่องหมายจราจร ที่ควรรู้ไว้
เครื่องหมายจราจร เป็นเรื่องที่ถือว่าใกล้ตัวเรามากที่สุดเรื่องหนึ่งก็ว่าได้ เพราะคนเราทุกวันนี้ต้องใช้รถ ใช้ถนน ในการเดินทางไปไหนมาไหน ดังนั้นการศึกษาเรื่อง เครื่องหมายจราจรทางบก จึงเป็นเรื่องที่ควรจะทำ ไม่เพียงแต่เฉพาะผู้ที่ใช้รถมอเตอร์ไซค์ เท่านั้นที่ควรรู้เรื่อง เครื่องหมายจราจร แต่เป็นทุกคนที่ใช้ถนนร่วมกัน ควรจะเรียนรู้ สัญญาณจราจรและเครื่องหมายจราจร
เครื่องหมายจราจรและความหมาย
เครื่องหมายจราจร (Traffic Sign) หมายถึง สัญลักษณ์ทางจราจรที่ใช้ในการควบคุมการจราจร มักเป็นสัญญาณแสงหรือป้าย มักมีจุดประสงค์เพื่อ กำหนดบังคับการเคลื่อนตัวของจราจร การจอด หรืออาจเป็นการเตือน หรือแนะนำทางจราจร ดังนี้
สัญญาณไฟจราจร
สัญญาณไฟจราจร โดยทั่วไปประกอบด้วยสัญญาณไฟสามสี ติดตั้งตามทางแยกต่าง ๆ เพื่อควบคุมการจราจรตามทางแยก โดยทั้งสามสี ได้แก่ สีแดงให้รถหยุด สีเหลืองให้รถระวัง เตรียมหยุด และสีเขียวคือให้รถไปได้ สำหรับสัญญาณไฟจราจรพิเศษอาจมีสีเหลืองเพียงสีเดียวจะกะพริบอยู่ ใช้สำหรับทางแยกที่ไม่พลุกพล่าน หมายถึง ให้ระมัดระวังว่ามีทางแยก และดูความเหมาะสมในการออกรถได้เอง หรือ สัญญาณไฟจราจรสำหรับการข้ามถนน หรือ สัญญาณไฟจราจรไว้สำหรับเปลี่ยนเลน เป็นต้น
สีที่ปรากฏบนสัญญาณไฟจราจร มีความหมายดังนี้
- สีเขียว – อนุญาตให้รถขับผ่านไปได้
- สีเหลือง – เตรียมให้รถหยุด
- สีแดง – หยุดรถ
ป้ายจราจร
ป้ายจราจร เป็นป้ายทางการควบคุมการจราจร แบ่งออกเป็นสามประเภท
– เครื่องหมายจราจร ป้ายบังคับ มักจะมีพื้นสีขาว ขอบสีแดง เป็นป้ายกำหนด ต้องทำตาม เช่น ห้ามเลี้ยวขวา
– เครื่องหมายจราจร ป้ายเตือน มักจะมีพื้นสีขาว ขอบสีดำ จะเป็นป้ายแจ้งเตือนว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า
– เครื่องหมายจราจร ป้ายแนะนำ เป็นป้ายที่แนะนำการเดินทางต่าง ๆ อาทิ ทางลัด ป้ายบอกระยะทาง เป็นต้น
ป้ายบังคับ
ใช้สำหรับแจ้งให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติตามข้อบังคับที่ได้แสดงไว้ตามข้อความ เครื่องหมาย สัญลักษณ์ที่ปรากฎบนแผ่นป้ายและมีผลบังคับตามกฎหมาย
ป้ายบังคับมี 4 ประเภทดังนี้
- ป้ายบังคับประเภทกำหนดสิทธิ์ (บ.1 – บ.3)
- ป้ายบังคับประเภทห้ามหรือจำกัดสิทธิ์ (บ.4 – บ.36)
- ป้ายบังคับประเภทคำสั่ง (บ.37 – บ.54)
- ป้ายอื่น ๆ (บ.55)
ป้ายเตือน
คือ ป้ายเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบถึงสภาพทางว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ทำให้ผู้ขับขี่เพิ่มความระมัดระวังหรือลดความเร็วในการขับขี่ยานพาหนะ
ใช้สำหรับทางโค้ง ทางแยก บริเวณที่จำนวนช่องจราจรลดลง ทางลาดชัน สภาพผิวทางไม่ปกติ
ป้ายเตือน
ป้ายเตือนงานก่อสร้าง
ป้ายแนะนำ
คือ ป้ายแนะนำให้ผู้ขับขี่ทราบถึงทิศทางและระยะทางไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างถูกต้อง เหมาะสำหรับติดตั้งบริเวณทางแยก ข้างทางหลวง และสถานที่ต่าง ๆ
ป้ายแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวของกรมทางหลวงชนบท
ป้ายแนะนำของกรมทางหลวงชนบท
ป้ายแนะนำของกรมทางหลวง
ป้ายเสริมของกรมทางหลวง
ป้ายเสริมของกรมทางหลวงชนบท